เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’ ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’  ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

เหตุที่ "กุนซือชทพ." ตัดสินใจ ขน สส. หลอมรวมกับ "ภท." มีอย่างเดียวคือ การรักษาสถานะ "สส." ของ "ลูกท็อป" เอาไว้ในสนามเลือกตั้งหน้า ท่ามกลางกระแส ชมพู ถูก "ส้ม-แดง" โค่น

KEY

POINTS

  • วราวุธ ศิลปอาชา ตัดสินใจนำทีม สส. พรรคชาติไทยพัฒนา ในกลุ่มบ้านใหญ่ศิลปอาชาและสะสมทรัพย์ ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
  • แกนนำพรรคประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้ สส. เลยในการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากคะแนนนิยมของพรรคลดลงและบริบทการเมืองที่เปลี่ยนไป
  • การย้ายพรรคครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการทิ้งมรดกของบรรหาร ศิลปอาชา แต่ผู้บริหารพรรคชี้แจงว่าเป็นทางรอดทางการเมือง
  • เป้าหมายคือการเข้าร่วมกับพรรคใหญ่เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล และหวังว่าจะได้กลับมาดูแลประชาชนในพื้นที่ได้ดีขึ้น

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “พรรคชาติไทยพัฒนา” จะถูกแขวงขึ้นหิ้ง ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง หลัง “วราวุธ ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เลือกทางไป ให้ กลุ่มก้อน “บ้านใหญ่ศิลปอาชา-บ้านใหญ่สะสมทรัพย์ และไข่แดง จุรีมาศ แห่งร้อยเอ็ด” เกาะกลุ่ม “พรรคภูมิใจไทย” เติบโต

สิ่งนี้ กลายเป็นคำตอบของคำถามใหญ่ ในใจของ “คนสุพรรณบุรี” รวมถึงคนที่ติดตาม “พรรคชาติไทยพัฒนา” มาตั้งแต่รุ่น “บรรหาร - ชุมพล ศิลปอาชา” ว่า เป็นการทุบมรดก “บรรหาร” ทิ้งอย่างแน่แท้ แม้ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา จะหาคำตอบมาอธิบาย ว่า เป็นเพื่ออนาคตของการได้สิทธิดูแลประชาชน - พื้นที่ ให้ได้มากกว่า คงสถานะเป็นพรรคเล็ก

ทว่าเสียงตอบรับของเรื่องนี้ ดูเหมือนเป็น “เชิงลบ” มากกว่า “เสียงเชียร์”

ต่อเรื่องนี้ “นิกร จำนง” ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แบกหน้าออกมารับหน้าเสื่อ แทน “ท็อป-วราวุธ” เปิดใจผ่านรายการ “คมชัดลึก” เนชั่นทีวี ช่อง 22 ยอมรับว่า การตัดสินใจขนสส.สุพรรณบุรี และ นครปฐม รวมถึงร้อยเอ็ด 1 เดียว ไปรวมกับ “พรรคภูมิใจไทย” เพราะได้ประเมินทิศทางการเมืองในการเลือกตั้งสมัยหน้าแล้วว่า “ชาติไทยพัฒนา” เสี่ยงจะไม่ได้สส.

“ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา คะแนนบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้มา 1.9 แสนคะแนน ซึ่งการได้สส.บัญชีรายชื่อ 1 คนต้องได้ 3 แสนคะแนน แต่ที่เราได้มา และได้ คุณท็อป วราวุธ สส.บัญชีรายชื่อ เข้าสภาฯ เพราะการคำนวณทำให้พรรคได้เศษมากกว่าพรรคการเมืองอื่น ทั้งนี้ผลของคะแนนบัญชีรายชื่อที่ผ่านมา พรรคอันดับหนึ่ง คือ พรรคสีส้ม รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาได้อันดับสาม”

ส่วนที่ถูกตราหน้าว่าทิ้งมรดกบรรหาร “นิกร” ขยายความว่า ในอดีตพรรคชาติไทยพัฒนา มาจากพรรคชาติไทย ซึ่งมีต้นกำหนดมาจากกลุ่มราชครู และ นายบรรหาร เป็นเลขาธิการพรรค และเมื่อกลุ่มราชครู แยกไปทำพรรคชาติพัฒนา นายบรรหารรับช่วงดูแลพรรคชาติไทยต่อ ซึ่งพรรคชาติไทยยังอยู่กทม. อาคารที่เป็นสำนักงานปัจจุบัน เกิดมาในสมัย ที่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรคชาติไทย ก่อสร้าง จนปี2551 ที่พรรคชาติไทยถูกยุบ และนายบรรหารต้องเสียน้ำตา จากวันนั้นถึงวันนี้จะครบ20 ปีแล้ว

เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’  ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

“ที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นแบบปัจจุบัน อาจจะพูดได้ว่า นายบรรหารไม่อยู่ ซึ่งไม่ได้พูดเพื่ออะไร แต่บริบทการเมืองเปลี่ยนไป หาก นายบรรหารอยู่ เราอาจไม่ตกต่ำแบบนี้ ซึ่งเราทำเต็มที่และทำดีแล้ว แต่การเมืองตอนนี้เป็นเรื่องกระแส และการเลือกตั้งรอบนี้การเมืองจะหนักและรุนแรงมาก เราประเมินกันว่าอาจทำให้เราไม่มีหวังว่าจะได้สส.บัญชีรายชื่อ”

“นิกร” อธิบายความด้วยว่า พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่พรรคเล็กที่ค่อยๆ โต แต่เราเป็นพรรคใหญ่มากก่อน แต่ตอนนี้พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคขนาดเล็ก มา 2 สมัยแล้ว พบปัญหาและข้อจำกัด แม้จะหาเสียงทั่วประเทศ ติดป้ายทั่วประเทศ แต่ได้สส. มา 10 คน ซึ่งมีปัญหาต่อการทำงานในสภาฯ รวมถึงการทำงานในพื้นที่ที่ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง 

แม้ว่าสมัยที่ผ่านมา “วราวุธ” จะได้เป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แต่ดูแลได้เฉพาะ ผู้พิการ คนแก่ และเด็ก ทำให้สะท้อนใจและเปรียบเทียบสมัยที่พรรคชาติไทย ได้รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่สามารถช่วยได้ แต่ปัจจุบันจะช่วยชาวบ้าน ต้องไปร้องเรียนออกรายการทีวี และพอมาเป็นฝ่ายค้าน ทุกอย่างก็จบ

เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’  ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

ส่วนการดูแลพรรคชาติไทยพัฒนาจากนี้ “ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา” บอกว่า จะส่งไม้ต่อให้ “กัญจนา ศิลปอาชา” พี่สาวของวราวุธ และขณะนี้ “กัญจนา” ตอบรับแล้ว ส่วนการอธิบายความกับคนในจ.สุพรรณบุรี นั้น ขณะนี้ยังทำไม่ได้ เพราะ “วราวุธ” ยังมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่ “กัญจนา” ยังไม่ได้มีบทบาท ดังนั้นทุกอย่างต้องรอให้ “ยุบสภา” และมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนาเสียก่อน

เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’  ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

ต่อประเด็นสำคัญที่ถูกมองว่า “วราวุธ” ยกทีมไปรวมกับ “ภูมิใจไทย” รอบนี้ เพราะมีการต่อรอง ขอตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่ง “อ.สุวิชชา เป้าอารีย์” ผู้อำนวยการนิด้าโพล ที่ร่วมรายการ สะท้อนมุมมองว่า โอกาสต่อรองของพรรคเล็กอาจหายไป เมื่อไปรวมกับพรรคใหญ่ แม้วันไปจะคึกคัก แต่หลังเลือกตั้งอาจถูกกลืน หายไปกับสายลม ไปกับทะเลสีน้ำเงิน แม้การนำสส.ไปรวม จะได้เสนอนโยบาย แก้ปัญหาต่างๆ ได้ แต่เชิงคำถามคือ อำนาจต่อรองในพรรคใหญ่ ไม่เหมือนพรรคเล็กที่ทุกคนกอดกันไว้ พร้อมไปด้วยกัน หรือ ออกไปด้วยกัน แต่เมื่อไปรวมกับเขา หากต่อรองมากๆ อาจถูกมองไม่ดี เหมือนกับเป็นกบฎในพรรค

“วราวุธอาจได้เข้าสภา แต่คำถามถือจะมีบทบาท โดดเด่นขนาดไหน คงไม่เหมือนกับตอนอยู่ชาติไทยพัฒนา เพราะในพรรคภูมิใจไทยมีคนจำนวนมากที่มีบทบาทรออยู่แล้ว มีสารพัดบ้านวิ่งมา ซึ่งเคยเป็นผู้ที่มีบทบาทในอดีตทั้งนั้น แต้มนี้อนุทิน ชาญวีรกูล ได้เต็มๆ สีน้ำเงินไม่มีอะไรเสีย แต่ที่เหลือนั้น มีคำถามว่าได้หรือไม่” อ.สุวิชชา ขยายความ

ต่อประเด็นนี้ “นิกร” โต้แย้งทันที ว่า “การต่อรองตำแหน่ง ไม่คุยกันตรงนี้ ส่วนความโดดเด่นของคุณท็อป เชื่อว่าในทะเลกว้าง ก็ดีกว่าแม่น้ำท่าจีน เพราะทะเลกว้างสามารถว่ายไปได้ไกล มีโอกาสทำประโยชน์ให้ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การต่อรอง แต่เราคิดแบบพรรคใหญ่ ทำให้เราอยู่พรรคเล็กไม่ได้”

เบื้องลึก‘ชทพ.’ยกทัพซบ‘ภท.’  ฝ่าทางรอด ‘ไร้สส.-วราวุธ’ ตกเก้าอี้

ในตอนท้าย “ขุนพลข้างกาย อดีตนายกฯ บรรหาร และรับช่วงดูแล คุณหนูบ้านศิลปอาชา” ยอมรับว่าการเข้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อทำให้ “พรรคสีน้ำเงิน” เป็นพรรคอันดับหนึ่ง และลดทอนน้ำหนักของ “สีส้ม-สีแดง” ที่เป็นคู่แข่งทางการเมือง

“เมื่อเป็นภูมิใจไทยเป็นพรรคอันดับหนึ่ง และ อนุทินได้เป็นนายกฯ เราคาดหวังว่าจะได้ช่วยจ.สุพรรณบุรี เมื่อถึงเวลานั้น คุณท็อปจะพูดเต็มปากเต็มคำว่า นี่คือเหตุผลที่จะได้กลับมาช่วยคนสุพรรณบุรี”

ขณะที่ “อ.สุวิชชา” ประเมินภาพทางการเมืองปัจจุบันว่า กระแสของพรรคภูมิใจไทยดีขึ้นมาก ซึ่งเชื่อว่าจะได้สส.หลักร้อยคนขึ้นไป ส่วนพรรคสีส้ม อย่างเก่งได้เท่าเดิม คือ 150 เสียง เพราะกระแสลดลง ดังนั้นฝ่ายที่จะได้เป็นรัฐบาลมองเห็นภาพได้ว่า เป็นสีน้ำเงิน ส่วน สีส้ม ถูกวางไว้เป็นฝ่ายค้าน ดังนั้นฉากทัศน์ต่อไป คือ พรรคสีน้ำเงินต้องกว้านพรรคต่างๆ เข้ามาเป็นรัฐบาล ส่วนสีแดงจะได้ร่วมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเขาลดอีโก้ลงได้หรือไม่ และพรรคภูมิใจเลิกโกรธแล้วหรือไม่ เพราะหากให้ “ส้มรวมกับแดง” เชื่อว่าได้ไม่ถึงครึ่งของสภาฯ

ส่วนการประเมินสัญญาณยุบสภานั้น “นิกร และ อ.สุวิชชา” ประเมินตรงกันว่า ภายในเดือนธ.ค. นี้ และสัญญาณเร่งของเรื่องนี้ คือ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเชื่อว่า “อนุทิน” จะไม่ยอมมีชื่อถูกจารึกว่า เป็นนายกฯที่ถูกโหวตออก เพราะการลงมติไม่ไว้วางใจ

แม้ว่าเรื่องนี้จะมี “การแก้รัฐธรรมนูญ” เป็นตัวประกัน ที่ “พรรคประชาชน” ต้องชั่งใจจะยอมเป็นฝ่ายค้ำรัฐบาล-อนุทิน หรือไม่ แต่จังหวะนี้คนอย่าง “อนุทิน” จะไม่ยอมพาตัวเองเสี่ยงเด็ดขาด