ธ.ค.ร้อนจ่อปิดฉากคดี’44สส.ส้ม’ ล้มดีล MOA ‘น้ำเงิน’ ผงาด?

ป.ป.ช. จ่อชี้ขาดคดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล กรณีเสนอแก้ ม.112 ภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของ สส. คนสำคัญในพรรคประชาชน
KEY
POINTS
- ป.ป.ช. จ่อชี้ขาดคดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล กรณีเสนอแก้ ม.112 ภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของ สส. คนสำคัญในพรรคประชาชน
- คำตัดสินอาจทำให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคประชาชน (ปชน.) หลายคนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า
- สถานการณ์คดีความของพรรคประชาชน ประกอบกับแนวโน้มที่ข้อตกลง (MOA) กับพรรคภูมิใจไทยจะล่ม อาจทำให้พรรคภูมิใจไทย (ค่ายสีน้ำเงิน) มีความได้เปรียบและมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต
แนวโน้มตามแผน MOA ระหว่าง “ก๊กส้ม”พรรคประชาชน (ปชน.) และ “ก๊กน้ำเงิน”พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดูท่าจะ “ส่อแววล่ม” พลันที่ “นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล” เอ่ยปากหลายครั้งผ่านสาธารณะว่า ถ้าหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามา อาจจำเป็นต้อง “ยุบสภาฯ” ก่อนกำหนด นั่นคือช่วงวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันแรกที่จะเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ
จากเดิมตามแพลน MOA “ส้ม-น้ำเงิน” วางไทม์ไลน์การยุบสภาฯไว้ 4 เดือน กล่าวคือถึงวันที่ 31 ม.ค. 2569 เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มี สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ (ปัจจุบันคือ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในสูตร 20 หยิบ 1 เพื่อป้องกันไม่ให้ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ) และพ่วงคำถามประชามติว่า ประชาชนอยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
เงื่อนปมที่น่าสนใจ ว่ากันว่าในช่วงที่ผ่านมา ปชน.ได้เตรียม “ร่างญัตติ” เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอาไว้แล้ว เหลือแค่ให้ สส.ในพรรคลงนาม ก่อนยื่นญัตติให้ประธานสภาฯ ดำเนินการต่อเท่านั้น ท่ามกลางการจับตาจากสังคม ที่มีการหารือกันระหว่าง “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แห่ง ปชน. กับ “หัวหน้าหนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แห่งเพื่อไทย
ทำให้หลายคนเชื่อกันว่า ปชน.-เพื่อไทย จับมือเป็น “พันธมิตรชั่วคราว” เตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หวังโค่น “รัฐบาลหนู” เรียกเรตติ้ง-สร้างกระแสให้ “ส้ม-แดง” กลับคืนมาจากฝ่ายอนุรักษนิยม ที่กำลังครองอำนาจนำผ่าน “รัฐบาสีน้ำเงิน” ในยุคคนไทย “ขวาหัน” จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้
ส่งผลให้ทุกองคาพยพเตรียมพร้อมมองถึงฉากทัศน์การเลือกตั้งใหญ่ในปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ในส่วนของ “ค่ายส้ม” เตรียมพร้อมสรรพกำลัง วางตัวผู้สมัครชิง สส.ไว้ค่อนข้างครบถ้วนแล้ว และจะมีการเปิดตัว “โฉมหน้าแคนดิเดตนายกฯ-ว่าที่ ครม.” ถ้าหากได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลเอาไว้ด้วย แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า จะได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน
โดยมีการคาดการณ์กันว่า แคนดิเดตนายกฯของพรรค ปชน.มี 3 คน ประกอบด้วย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายยุทธศาสตร์พรรค ผู้อยู่เบื้องหลังในการวางนโยบายทั้งหมดของพรรคที่ผ่านมา อีกชื่อคาดว่าจะมี ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ หรือไม่ก็ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหนึ่งในผู้ร่างนโยบายของพรรคเช่นกัน
ทว่าต้องไม่ลืม “ค่ายส้ม” ยังมีชนักสำคัญปักหลังเอาไว้อยู่ นั่นคือ “คดี 44 สส.ก้าวไกล” กรณีร่วมกันเสนอและร่วมกันลงชื่อในร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยว่ากันว่าในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ คดีดังกล่าวจะมีการชงเข้าที่ประชุมใหญ่เพื่อลงมติชี้ขาดอย่างหนึ่งอย่างใด
ที่ผ่านมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รับเรื่องนี้ไว้ไต่สวน และมีการจัดแบ่งหมวดหมู่พฤติการณ์การกระทำออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มต้นคิดไอเดีย ก่อนจะนำเสนอร่างกฎหมาย 2.กลุ่ม สส.ระดับนำ ที่รับลูกไอเดียดังกล่าว มาเสนอกฎหมาย 3.กลุ่ม สส.ที่ร่วมลงชื่อ
เบื้องต้น “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการไต่สวนคดีนี้ว่า มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว แต่ตัวผู้ถูกกล่าวหามีจำนวนหลายราย หลังจากดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาไปนั้น มีผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปแล้วเช่นกัน โดยเราเปิดโอกาสให้มาชี้แจงเต็มที่ มีกรอบระยะเวลา 15 วัน บางท่านขอขยายระยะเวลา นำส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมในการชี้แจง แต่ทั้งหมดยังอยู่ในกรอบระยะเวลาการชี้แจง
หลังจกนี้องค์คณะไต่สวน จะมีการพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อสรุปสำนวนนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยไม่มีความจำเป็นต้องไต่สวนเพิ่มเติมอีก คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นาน แต่ถ้ามีเหตุต้องใช้เวลานานออกไป อาจต้องชี้แจงทำความเข้าใจว่า ป.ป.ช.ไม่ได้อยู่เฉยในเรื่องนี้ เพราะสิทธิในการต่อสู้คดี ใช้สิทธิชี้แจง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ เป็นไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีการพิสูจน์พยานหลักฐานต่าง ๆ จากการแก้ข้อกล่าวหานั้น องค์คณะไต่สวน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาทีละราย จะไม่มีการพิจารณาแบบเหมารวม เพราะแต่ละคนที่ลงลายมือชื่อ ข้อเท็จจริงแตกต่างกัน กล่าวคือเวลาเสนอร่างกฎหมายนั้น จะมีผู้ริเริ่ม กับผู้ที่ร่วมลงลายมือชื่อเพื่อเสนอ การกระทำของแต่ละคนจึงแตกต่างกันในข้อกฎหมาย และลักษณะการกระทำ
“ยืนยันว่าการทำงานของ ป.ป.ช.อยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ได้ดูไทม์ไลน์การเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ความผิด โดยคาดว่าจะมีการพิจารณาคดีนี้รายคนเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.นี้ จากนั้นคาดว่าเร็วสุดคือเสร็จภายใน พ.ย. อย่างช้าไม่น่าจะเกิด ธ.ค. 2568 ก่อนการเลือกตั้ง ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งทางการเมือง” สุรพงษ์ ระบุ
ขณะที่ 44 สส.อดีตก้าวไกล ปัจจุบันยังเป็น สส.ในนาม ปชน.อยู่ 25 คน ได้แก่ สส.เขต 8 ราย ได้แก่ 1.นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. 2.นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. 3.นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส.บัญชีรายชื่อ) 4.น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี 5.นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา 6.นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี 7.นายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด 8.นายวุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ
สส.บัญชีรายชื่อ 17 ราย ได้แก่ 1.นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค ปชน. ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส.กทม.) 2.น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน. 3.นายนิติพล ผิวเหมาะ 4.นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) 5.นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ 6.นายณัฐวุฒิ บัวประทุม 7.นายวรภพ วิริยะโรจน์
8.นายคำพอง เทพาคำ 9.นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ 10.นายองค์การ ชัยบุตร 11.นายมานพ คีรีภูวดล 12.นายวาโย อัศวรุ่งเรือง 13.น.ส.วรรณวิภา ไม้สน 14.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 15.นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ 16.นายรังสิมันต์ โรม 17.นายสุรวาท ทองบุ
ในบรรดา 25 รายชื่อข้างต้น มีไม่น้อยที่เป็น “ระดับนำ” ในพรรค และบางคนถูกมองว่าอาจเป็น “ทายาททางการเมือง” เพื่อขึ้นมานำพรรคในรุ่นถัด ๆ ไป อย่างไรก็ดีหากบรรดาระดับนำเหล่านี้ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด หากยังดึงดันจะส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้า หากมีการชงเรื่องถึงศาลฎีกา อาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลเสียใหญ่หลวงต่อ “เสียง สส.” ในสภาฯของ ปชน.หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยเฉพาะแคนดิเดตนายกฯของพรรค ที่มี 3 ชื่อ อาจเหลือแค่เพียงรายของ “วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร” คนสนิทระดับ “วงใน” ของ “กลุ่มเพื่อนเอก” เพียงคนเดียว และพรรคจำต้องหาคนมาเป็นแคนดิเดตนายกฯเพิ่มเติม นี่ยังไม่นับการบริหารจัดการภายในพรรค ที่ต้องดัน “แถว 3-4” ขึ้นมาประคับประคองพรรคต่อไปอีก
ดังนั้นแผลนี้ของ ปชน.ค่อนข้างสาหัส และในห้วงเวลา “นิติสงคราม” กำลังรุกไล่ “แดง-ส้ม” อยู่ตอนนี้ อาจส่งผลให้คดีดังกล่าว กลายจุดตัดสินชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองไทย หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ “ค่ายน้ำเงิน” มีแต้มต่อมากขึ้น ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และดัน “อนุทิน” เป็นนายกฯสมัยที่ 2
ส่วนความฝัน “ก๊กส้ม” ที่หวังกินรวบทั้งกระดาน แลนด์สไลด์ สส.จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว อาจเป็นแค่ฝันกลางวันอีกครั้ง ก็เป็นได้







