‘ปชน.’ ขอดูของ ‘พท.’ ซักฟอก ไว้วางใจ อนุทิน หรือไม่ ไม่หวั่น คดี 44สส. ม.112

ณัฐพงษ์ มั่นใจตั้ง 3 แคนดิเดตนายกฯ ‘พรรคประชาชน’ ชี้ คดี 44 ส.ส.อยู่เหนือการควบคุม ลั่นหากมีอุบัติเหตุการเมืองพร้อมไปต่อ อุบจับมือน้ำเงิน-แดง หากต้องตั้งรัฐบาลผสม เลี่ยง ตอบพลังดูด ภูมิใจไทย ขัดเอ็มโอเอหรือไม่
ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรค ปชน. ถึงเหตุผลในการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสองคน คือน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย และนายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายยุทธศาสตร์ ว่า การเลือกตําแหน่งในฝ่ายบริหารสูงสุดอย่างแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อาจใช้กระบวนการที่เรียกว่า ต้องรักษาสมดุลระหว่างกระบวนการตัดสินใจฝ่ายบริหาร และการมีส่วนร่วม ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของตําแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ชัดเจนตั้งแต่เรื่องการเลือกฝ่ายบริหาร เช่น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ผ่านมา ก็แตกต่างกับตําแหน่งอื่นๆ
“กระบวนการที่ผ่านมา เชื่อว่าทั้งสองชื่อนี้ เป็นชื่อที่ทุกคนให้การยอมรับทั้งจากสมาชิกภายในพรรค และโหวตเตอร์ของพรรคด้วย จึงเชื่อว่า การตัดสินใจตําแหน่งสําคัญๆ แบบนี้ ต้องใช้อํานาจฝ่ายบริหารระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อมั่นว่า ผมตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีการมองว่านายณัฐพงษ์ และน.ส.ศิริกัญญา อยู่ในรายชื่อคดี 44 สส. มีเพียงนายวีระยุทธเท่านั้นที่ไม่อยู่ จะมีการบริหารจัดการอย่างไร เพื่อไม่ให้การเรียงลําดับมีปัญหา นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องคดี 44 สส.อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ตนเชื่อว่าการที่พวกเราลงชื่อในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการใช้อํานาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในฐานะ สส. แต่หากประเมินเช่นนี้ พวกเราตัดสินใจในการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้ง 3 คนดูตามความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ ส่วนการประเมินความเสี่ยงทางการเมือง เราก็มีการประเมินไปด้วย แต่ยังเชื่อว่าพวกเราบริสุทธิ์ยุติธรรมในสิ่งนี้ เรื่องการแก้ไขกฎหมายที่ผ่านมา จึงไม่ได้เลือก 1 หรือ 2 ท่านที่อยู่ข้างตน ด้วยการที่พยายามหลบเลี่ยงประเด็นทางการเมือง
"เมื่อถึงวันนั้น หากมีคําตัดสินออกมาจริงๆ ซึ่งผมและน.ส.ศิริกัญญาอยู่ในคดีนี้ หากมีอุบัติเหตุทางการเมือง เราก็พร้อมที่จะไปต่อ และผมเชื่อว่า ทีมงานของพรรคประชาชนทุกคนในขณะนี้ยังมีบุคลากรที่มีความสามารถในการทําหน้าที่อยู่" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ทั้ง 2 คนจะอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วยใช่หรือไม่ และจะอยู่ในกระทรวงใด นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนพูดได้เต็มปากว่า ต้องอยู่ในฝ่ายบริหารอยู่แล้ว แต่จะอยู่ในกระทรวงใด ขอรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า รอบหน้าถ้าเกิดกรณีที่ต้องเป็นพรรครัฐบาลผสมแบบเลือกไม่ได้ จะจับมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการจับมือนั้น ตนขอยกตัวอย่างเช่น กรณีการทูตเป็นหลัก ในขณะที่ระดับโลกเราบอกไม่จําเป็นต้องเลือกข้าง แต่เราเลือกวาระ ตนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จริงๆ เราเอาโจทย์สําคัญของประเทศเป็นตัวตั้ง ทุกนโยบายที่เราเสนอมาใน 2 วันนี้ หากไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่มีผู้สืบทอดอํานาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหารโดยตรง หรือเป็นผู้บริหารพรรค หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า หากยอมรับนโยบายของเราได้ เราคงต้องกาง TOR เหมือนตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดเผยให้ประชาชนเห็นโปร่งใส ตรงไปตรงมา พูดคุยกับเราอย่างรวดเร็ว จริงใจ ก็มีความเป็นไปได้หมด หากมีคนยื่นซองมากกว่าหนึ่งคน ก็ต้องพิจารณาว่าใครที่สามารถร่วมงานกับเราได้อย่างตลอดรอดฝั่ง
เมื่อถามถึง กรณีนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดตัวร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย จะถือว่าผิด MOA หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนขอไม่ตอบแทนว่าตกลงผิดหรือไม่ผิด เพราะทุกอย่างอยู่ในกรอบ MOA อยู่ ตราบใดที่ถ้ามีข่าวมาว่าจะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม. 151 หรือชิงยุบสภาก่อน แปลว่าพรรคภูมิใจไทยยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น หากดูตามบริบทการเมืองปัจจุบัน หรือการให้สัมภาษณ์ต่างๆ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตนเชื่อว่าเขายังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ เรายังมีอํานาจในการกํากับดูแลตรงนั้นอยู่
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการดึง สส.ต่างพรรคเข้าไปมากขึ้นหรือที่เรียกว่าพลังดูดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พรรคปชน.ทําในทางการเมือง เราทํางานการเมืองในฐานะคนธรรมดาที่มาร่วมกันทางการเมืองสร้างความเปลี่ยนแปลง พรรคไหนจะดูดกันยังไง ใครเป็นรัฐบาลจะได้ สส.มากขึ้น ก็ให้เขาทําไป เป็นเรื่องของเขา เราทําในรูปแบบของเรา
เมื่อถามว่า หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดจากพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคปชน.จะช่วยโหวตหนุนรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องขอดูเนื้อหาในการอภิปรายก่อน เรายึดเรื่องเนื้อหาการอภิปรายเป็นตัวตั้ง หากพรรค พท.มีของจริง ไม่ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยเกมทางการเมือง ที่รัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายแต่ละท่านนั้นไม่ไหวจริงๆ มีข้อมูลที่ทุจริตคอร์รัปชั่นจริง ตนและเพื่อนร่วมพรรค ก็คงไม่สามารถหนุนได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ต้องดูของก่อน
เมื่อถามว่า หากไม่ได้ 250 เสียง จะมีเงื่อนไขใดบ้างที่จะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เอาวาระเป็นตัวตั้ง ส่วนรายละเอียดต้องรอเข้าสู่การเลือกตั้ง รอดูการตอบคําถามในเวทีดีเบตว่า แต่ละพรรคเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับวาระของพรรคปชน.อย่างไร ต่อข้อถามว่า จะร่วมกับพรรค พท.ได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ร้องโห ก่อนกล่าวว่า “ขออนุญาตยังไม่ตอบ”
เมื่อถามถึง ระบบการคัดผู้สมัคร ตอนนี้เริ่มมีดรามาเกี่ยวกับระบบการคัดเลือก อาจจะมีเด็กเส้น คนที่เข้ารอบสุดท้ายไม่ได้รับเลือก จะแก้ปัญหาอย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องกระบวนการในการคัดเลือก เรามีความโปร่งใส และมีส่วนร่วมมากที่สุดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งในประเทศ ซึ่งในความเป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรคสูง ก็เป็นเรื่องที่อาจมีการส่งเสียงสะท้อนออกมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคไม่ใช่ผู้กุมบังเหียนในการแสดงความคิดเห็นความเห็นของใคร
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น คนที่รู้สึกผิดหวังกับกระบวนการที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเรามองเห็น และให้กําลังใจต่อ แต่ยืนยันว่าในฐานะผู้บริหาร เราพยายามออกแบบกลไกที่มีส่วนร่วม และเปิดกว้างให้กับทุกคนมากที่สุด ถ้าจะขอเรียกร้องกลับไปเพียงแค่อย่างเดียวคือ ลองถามทุกคนที่เข้ามาเป็นแคนดิเดตของพรรคตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่า คุณเข้ามาสมัครเป็นแคนดิเดตเพราะอะไร ถ้าคุณบอกว่า คุณอยากมาช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลง การเป็น สส. คือหมวกหนึ่งใบที่คุณพร้อมถอดได้เสมอ วันหนึ่งที่คุณไม่ได้ถูกเลือกเป็นแคนดิเดต สส. ก็ยังมีแห่งที่อีกเยอะที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนงานการเมือง โดยที่ไม่ใช่ สส.ก็ได้ ต้องถามใจตัวเองว่าคุณอยากมาทํางานเพราะอะไร
เมื่อถามว่า หลังผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว หวั่นใจกับอะไรมากที่สุด ระหว่างไม่สามารถจัดตั้งได้เหมือนในปี 2566 กับคดีทางการเมืองที่อาจตามมาภายหลัง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เราหวั่นใจเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นปมในใจเราตั้งแต่ปี 2566 นั่นคือการชนะเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเราเข้าใจเงื่อนไขดีว่า รอบนี้แม้จะไม่มี สว.แล้วก็ตาม แต่การชนะแบบไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ได้การันตีว่าเราจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจว่า ทําไมเราถึงมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานเช่นนี้ ที่อยากจะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะการที่ได้ต่ำกว่า 250 นั้น แทบจะเป็น 80-90 เปอร์เซ็นต์ ที่เราอาจจะเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง ซึ่งเราเข้าใจดีว่า ประชาชนไม่อยากรออีกต่อไป ประชาชนอยากให้เราเป็นรัฐบาล เรื่องนี้เรื่องเดียวเป็นเรื่องที่เรายังคงต้องทํางานอย่างแข็งขันมุ่งมั่น เพื่อให้พรรคปชน.ได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว
เมื่อถามว่า หากสถานการณ์ต่อไปถึงขั้นที่นายวีระยุทธเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ จะมีความมั่นใจหรือข้อกังวลใดในการก้าวเข้ารับตําแหน่งหรือไม่ นายวีระยุทธ กล่าวว่า เรา 3 คนทํางานเป็นทีม ตนยืนยันว่านายณัฐพงษ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศไทย ณ ปัจจุบันมากที่สุด เพราะเราต้องการคนที่ 1.แก้ปัญหาเป็นระบบ 2.เราต้องการเติมความเป็นดิจิทัลเข้าไป ทั้งระบบราชการไทย และ SMEs และ 3.สุดท้ายสําคัญที่สุด คือความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น เอาจริง ซึ่งตนยืนยันว่า นายณัฐพงษ์มีครบทั้ง 3 ข้อ







