‘อนุทิน’ ลุยเชียงใหม่ แถลงจับยาเสพติด ล้างบางส่วยสัญชาติ โยงจีนเทา

“อนุทิน” แถลงผลปราบยาเสพติด-ขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว พื้นที่ภาคเหนือ 5หน่วยงานขยายผล โยงทุนจีนเทา ชี้ จนท.รัฐบางรายหาประโยชน์ จากกลุ่มเปราะบาง ที่รอสถานะทางกม. ใช้ช่องว่างทะเบียนราษฎรเอื้ออาชญากรรมข้ามชาติ กระทบความมั่นคงประเทศ
ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แถลงผลการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และผลปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช. มหาดไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รมช.มหาดไทย นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมแถลงข่าว โดยมีสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ เดินทางมาเพื่อมารับฟังผลการปฏิบัติการ และยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างจริงจัง และไม่ประนีประนอม ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ ในการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ซึ่งสื่อมวลชนเรียกว่า ส่วยสัญชาติ รัฐบาลเห็นว่าคือการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศโดยตรง จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาโดยทันที
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการปกครอง ตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บูรณาการเปิดปฏิบัติการ ตัดหมอกเวียงแหง เพื่อตรวจสอบและปราบปรามขบวนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิอาศัยถาวรแก่คนต่างด้าวโดยมิชอบ และจากการสืบสวนขยายผล พบว่าขบวนการนี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทา ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
นายกฯ ได้ระบุถึงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับส่วยสัญชาติดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งรมว.มหาดไทย แต่ช่วงที่เริ่มกระบวนการยื่นขอสถานะ นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใดของฝ่ายบริหาร เมื่อกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยเต็มตัว จึงได้สั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิดผู้กระทำผิดทันที เหมือนกรณีที่อำเภอฝาง ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิ ปัจจุบันถูกลงโทษให้ออกจากราชการแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความน่าอับอาย และเป็นความเลวร้าย เพราะขบวนการนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายร่วมอยู่ ได้ไปหาประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางกว่า 4.8 แสนคน ที่รอคอยสถานะทางกฎหมาย และสัญชาติไทยมากกว่า 30 - 40 ปี ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้
“ที่สำคัญคือ มีการใช้ช่องว่างของระบบทะเบียนราษฎร และระบบสัญชาติ ไปเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มจีนเทา นี่คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการเปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาปลอมแปลงตัวตน และมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก”
นายกฯ กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการปกครอง และหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน พบว่าอำเภอเวียงแหง เป็นพื้นที่ที่มีการทำทุจริตลักษณะนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2554 เคยมีการจับกุมปลัดอำเภอในคดีลักษณะเดียวกัน ถูกลงโทษจำคุก 5 ปี รวมถึงคดีในปี 2563 แต่กลับเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้ นี่คือเหตุผลที่ต้องล้างบางให้สิ้นซาก ไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำอีก การจับกุมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับระดับ นายอำเภอที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในระบบทะเบียนราษฎร ซึ่งสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า เราตั้งใจจริง เอาจริง และจะไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม
นายกฯ ย้ำว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ยืนยันจะเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้อย่างเด็ดขาด ทำบ้านของเราให้สะอาด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และปกป้องความมั่นคงของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงผลการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากนอกประเทศเข้าสู่ประเทศไทย และกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ซึ่งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ปปส. รวมถึงฝ่ายปกครอง ได้บูรณาการกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านข่าวกรอง การปิดล้อมตรวจค้น การสกัดกั้นตามเส้นทางธรรมชาติ และการขยายผลไปถึงผู้สั่งการและเครือข่ายทางการเงิน
โดยผลการปฏิบัติการในรอบล่าสุด มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยึดของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้ง ยาบ้า ยาไอซ์ หลายรายการ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการลำเลียงและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมพยานหลักฐานที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดได้
นายกฯ กล่าวว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยปฏิบัติการตัดวงจรทั้งระบบตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย ไปจนถึงเครือข่ายการเงินที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด
“ขอชื่นชม เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทุกนาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น เสียสละ และทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของทุกท่าน ถือเป็นแบบอย่างแห่งความรับผิดชอบ และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สังคมไทยปลอดภัยและปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค 5 และหน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน ขอเชิญชวนประชาชนทุกคน ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญนี้ ทั้งการแจ้งเบาะแส ดูแลคนในครอบครัวด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนการบำบัด และร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด เพื่อปกป้องลูกหลานของเราและเพื่อสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจดูของกลางและรับทราบรายงานความสำเร็จของการดำเนินการปฏิบัติการตัดหมอกเวียงแหงการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จ ในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดคดีรายสำคัญ ในพื้นที่ ภ.5 จำนวน 3 คดี ดังนี้
1. สภ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ตรวจยึดยาบ้า 6 ล้านเม็ด รถยนต์ 1 คัน
2. สภ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา จับผู้ต้องหา 1 คน รถยนต์ 1 คัน ยาบ้า 5 ล้านเม็ด
3. กก.สส.ภ.จว.เชียงราย จับผู้ต้องหา 2 คน ตรวจยึดไอซ์ 20 กระสอบ รวมประมาณ 500 กก. รวมทั้งได้ตรวจดูรถยนต์ซึ่งเป็นของกลางในคดียาเสพติดด้วย







