นายกฯ ส่งสัญญาณ ‘ยุบสภา’ ‘อนุทิน’ ชิงเปิดตัว 'เอกนิติ-ศุภจี'

นายกฯ ส่งสัญญาณ ‘ยุบสภา’ ‘อนุทิน’ ชิงเปิดตัว 'เอกนิติ-ศุภจี'

นายกฯ ส่งสัญญาณ ‘ยุบสภา’ ‘อนุทิน’ ชิงเปิดตัว ‘เอกนิติ-ศุภจี‘ แคนดิเดตนายกฯ จับตาเกมตัดตอน “ซักฟอก” จัดทัพโยกย้าย ‘ข้าราชการ’

KEY

POINTS

  • นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ส่งสัญญาณอาจยุบสภาก่อนกำหนดเดิม โดยชิงเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยเพิ่ม 2 คน
  • แคนดิเดตนายกฯ 2 คนที่เปิดตัวคือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งถูกมองว่าเข้ามาเสริมภาพลักษณ์ และคะแนนนิยมให้กับพรรค
  • นายกฯ ให้เหตุผลว่ารัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อย หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะพ่ายแพ้ จึงพร้อมคืนอำนาจให้ประชาชน และมีทีท่าว่าเตรียมร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาไว้แล้ว

นายกฯ ส่งสัญญาณ ‘ยุบสภา’ ‘อนุทิน’ ชิงเปิดตัว 'เอกนิติ-ศุภจี'

“นายกฯ หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ออกมาเปิดชื่อ “2 แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะช่วยเข้ามาเติมคะแนนนิยมในการเลือกตั้งปี 2569

ปฏิบัติการเดินเกมเร็วของ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” ชิงเปิดตัว 2 แคนดิเดตนายกฯ ถูกจับตาว่าอาจจะเป็นการส่งสัญญาณ “ยุบสภา” เพื่อจัดการเลือกตั้งเร็วกว่าสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ใน MOA ซึ่งทำร่วมกับ “พรรคประชาชน” โดยให้คำมั่นสัญญาจะยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.2569

ล่าสุด “อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ถึงการรับมือหากฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ ม.151 โดยยอมรับว่า ตนเคยพูดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.69 แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ถ้ามีเหตุที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม

“ผมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะมาบอกว่าให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าลงคะแนนเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น ดังนั้น ตนจึงเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องการยุบสภาให้ประชาชนทราบ อะไรที่ทำให้เราทำงานไม่ได้ก็ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน”

ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เตรียมร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาแล้วหรือไม่ “อนุทิน” หัวเราะก่อนพยักหน้า แล้วชี้มาที่ผู้สื่อข่าวก่อนกล่าวว่า “รู้ใจ”

โดยแคนดิเดตนายกฯ พรรคภูมิใจไทย คนแรกชื่อ “อนุทิน” คนที่สอง “ดร.เอก” เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ รมว.คลัง คนที่สาม ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยอาจจะมีการเสนอชื่อเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 23 พ.ย.68 นี้

ต้องยอมรับว่า “รัฐบาลอนุทิน” ได้แต้มบวกจาก “เอกนิติ - ศุภจี” ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดี มีผลงานเชิงประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐ – ภาคเอกชน

เมื่อไฟต์บังคับให้พรรคการเมืองส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกฯให้ครบ 3 คน เผื่อเหลือเผื่อขาด หากสอยพ้นเก้าอี้ผู้นำ ยังจะมี “ตัวสำรอง” ให้เสนอชื่อโหวตใหม่ ชื่อของ “เอกนิติ – ศุภจี” จึงเป็นตัวเลือกที่ “ภูมิใจไทย” ประเมินแล้วว่าสามารถต่อยอดจากผลงานได้

ด้าน “อนุทิน” คะแนนนิยมพุ่งสูงขึ้น ภายหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ผลโพลทางเปิด - ทางลับ ความนิยมอยู่ระหว่างร้อยละ 13-15 ซึ่งมีแนวโน้มดีดตัวพุ่งสูงได้ หากสามารถรวบรวมคะแนนจาก “กลุ่มชาตินิยม” จากปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา มาเติมให้ “ภูมิใจไทย” ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

เส้นทางการเมือง 20 ปี “อนุทิน”

สำหรับ “อนุทิน” ผ่านงานด้านการบริหารธุรกิจ นั่งแทนบริหารบริษัท ซิโน-ไทย คอนสตรัคชั่น เซอร์วิส จำกัด ตั้งแต่ปี 2534 ก่อนจะลงจากตำแหน่ง เพื่อเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว

บนเวทีการเมือง “อนุทิน” ดำรงตำแหน่งสำคัญมาตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ตำแหน่ง รมช.สาธารณสุข (ปี 2547 และ 2548) รมช.พาณิชย์ (ปี 2547) ต่อมาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในปี 2549

ปี 2555 สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย หลังจากพ้นกำหนดการตัดสิทธิทางการเมือง และได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2555

ปี 2562 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป “อนุทิน” ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อต่อรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี

หลังการเลือกตั้ง “อนุทิน-ภูมิใจไทย” เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาล โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข

ปี 2566 ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง และต่อมาเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ

โดยช่วงต้นปี 2568 เขาถูกขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนจะพลิกขั้วจัดตั้งนั่งเก้าอี้นายกฯ โดยจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายหลังได้รับการสนับสนุนจาก “พรรคประชาชน” พร้อมให้คำมั่นยุบสภาภายใน 4 เดือน

เส้นทาง ‘เอกนิติ’ กลางใจนายกฯ

สำหรับนายเอกนิติ ปัจจุบันอายุ 54 ปี เป็นบุตรชายของ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

“เอกนิติ” ผ่านตำแหน่งในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) หลายตำแหน่งตั้งแต่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ, ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค, รองผู้อำนวยการ สศค. และเป็นผู้อำนวยการ สศค.ปี 2558

“เอกนิติ” ถือเป็นข้าราชการดาวรุ่งที่ถูกจับตามองถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง โดยเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมภาษี ที่กรมสรรพสามิต แต่ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกมารับตำแหน่งข้าราชการการเมือง ผ่านการทาบทามจากข้าราชการระดับสูง และนายอนุทินต่อสายตรงเชิญมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง

การมารับตำแหน่งข้าราชการการเมืองเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเพราะเหลืออายุราชการถึง 6 ปี ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสลุ้นตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ถึงแม้ว่าจะมีชื่ออธิบดีบางคนมีโอกาสถูกเสนอชื่อให้เป็นปลัดกระทรวงการคลัง ต่อจากนายลวรณ แสงสนิท

ท้ายที่สุด “เอกนิติ” เลือกตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจะมีโอกาสทำหน้าที่ดังกล่าวเพียง 4 เดือน ก่อนยุบสภา ดังนั้นจึงมีเงื่อนไขที่ตกลงกันให้นายเอกนิติ จะมีตำแหน่งทำงานในอนาคตกรณีพรรคภูมิใจไทยได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล

“เอกนิติ”คุมฟื้นกำลังซื้อ-แก้หนี้ครัวเรือน

“เอกนิติ” เป็นผู้วางกุศโลบายของคนละครึ่งพลัสด้วยให้เงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ยื่นแบบภาษีจาก 2,000 บาท เป็น 2,400 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจการเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงการจ่ายเงินอุดหนุนให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อจูงใจการรีสกิล-อัปสกิล ให้ร้านค้าต่อยอดธุรกิจ

ขณะเดียวกันเขาเสนอแผนนโยบายเศรษฐกิจด้วยหลักคิด “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” โดยมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผล รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ร่วมมือกับ ธปท.ในการสนับสนุนกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (JV AMC) เพื่อแก้หนี้เสียประชาชนที่ต่ำกว่า 100,000 บาท

รวมทั้งต้องเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงสร้างอุตสาหกรรมอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถเน้นสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เกษตรชีวภาพ Smart Farming, Digital, AI, และ EV รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงานรองรับเทคโนโลยีใหม่

“ศุภจี” ดึงภาพลักษณ์รัฐบาลภูมิใจไทย

สำหรับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นนักธุรกิจที่ “อนุทิน” ทาบทามมาร่วมรัฐบาล โดยตลอด 36 ปี คร่ำหวอดใน 3 อุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ทั้งไอที ดาวเทียม และท่องเที่ยว-บริการ ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับดิสรัปชัน (Disruption) มากมายจากเทคโนโลยี

ก่อนหน้าที่ศุภจีจะเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2559 ได้เป็นคนไทยคนแรกที่ก้าวสู่ตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ไอบีเอ็ม (IBM) นิวยอร์ก สหรัฐ

ทั้งนี้ “ศุภจี” ทำงานในไอบีเอ็มถึง 23 ปี ก่อนจะก้าวสู่อุตสาหกรรมดาวเทียม ในตำแหน่งซีอีโอ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 4 ปี กระทั่งข้ามฟากเป็นซีอีโอกลุ่มดุสิตธานี ที่ขยายธุรกิจไปสู่น่านน้ำใหม่ นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ต

“ศุภจี” เป็นรัฐมนตรีคนนอกของรัฐบาลนายอนุทิน ที่มีแฟนคลับ และทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดีขึ้น โดยได้ใช้ประสบการณ์การทำงานบริษัทข้ามชาติ และบริษัทไทยมาใช้ขับเคลื่อนงานของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในส่วนการเตรียมความพร้อมดูแลราคาสินค้าเกษตรที่ทยอยเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี โดยเฉพาะข้าวที่รัฐบาลต้องมีมาตรการดูแลชาวนา

ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการเจรจากับสหรัฐในประเด็นข้อตกลงการค้าที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่ม 19% และเข้มงวดแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องออกมาตรการกำกับดูแลที่ทำให้สหรัฐเชื่อได้ว่าประเทศไทยมีการควบคุมสินค้าที่จะแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้าไทยส่งเข้าสหรัฐ

รัฐบาลจัดทัพโยกย้าย ‘ข้าราชการ’

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ “อนุทิน” จัดทัพโยกย้าย “บิ๊กข้าราชการ” ในหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีการล้างบาง “เครือข่ายสีแดง” จากยุค “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย คืนความเป็นธรรมให้ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” เข้ามายึดหัวหาดในกรมหลัก

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าว “ปลัดป๊อบ” อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เตรียมแต่งตั้งโยกย้าย “ผู้ว่าราชการจังหวัด - รองผู้ว่าราชการจังหวัด” อีกหลายตำแหน่ง รวมถึงในระดับ “ปลัดอำเภอ” และระดับท้องถิ่นด้วย

รวมไปถึงการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย “นายตำรวจ” ซึ่ง “อนุทิน” ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย “นายตำรวจ” ในเร็วๆ นี้

จับสัญญาณจาก “อนุทิน-ภูมิใจไทย” ออกมาเคลื่อนไหวเปิดตัว “เอกนิติ-ศุภจี” แคนดิเดตนายกฯ รวมทั้งการทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. อาจจะทำให้การ “ยุบสภา” เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่มาเร็วกว่ากำหนดการเดิม

รัฐบาลเร่งทำงานก่อนประกาศยุบสภา

ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งมาตรการลดค่าครองชีพ และเพิ่มกำลังซื้อ โดยผลักดันมาตรการ คนละครึ่งพลัสเฟส 1 กลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐ ได้รับเงินอุดหนุนเดือนละ 1,700 บาท เพิ่มจากเงินในบัตรเดือนละ 300 บาท รวมเป็น 2,000 บาท ส่วนประชาชนที่ยื่นแบบภาษีได้รับเงินอุดหนุน 2,400 บาท และผู้อยู่นอกระบบภาษี ได้รับอุดหนุน 2,000 บาท

รวมทั้งรัฐบาลเตรียมพิจารณามาตรการ คนละครึ่งเฟส 2 โดยจะมีการอนุมัติงบประมาณก่อนที่จะยุบสภา

ส่วนการตรึงค่าไฟฟ้าขณะนี้มีข้อเสนอของกระทรวงพลังงานเสนอตรึงค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย.2569 อยู่ที่หน่วยละ 3.94 บาท ในขณะที่ค่าเดินทางคมนาคมขนส่งได้ลดค่าเดินทาง โดยค่ารถไฟฟ้า 20 บท ตลอดสายได้ต่ออายุสายสีม่วง และสายสีแดง ถึง ธ.ค.2569 รวมทั้งมีแผนค่ารถไฟฟ้า 40 บาท ทั้งวัน รวมถึงค่ารถเมล์ มีแผนให้ค่าโดยสารรถร้อน-รถแอร์ เท่ากันที่ 8 บาท และค่าทางด่วนมีแผน 50 บาท

ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังกับ ธปท.โดยสนับสนุนตั้ง JV AMC แก้หนี้เสียของประชาชนรายย่อยไม่เกิน 100,000 บาท

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์