สูตร 20 หยิบ 1 ล็อกสเปก 'ร่าง รธน.' แตะหมวด 1-2 จุดเลี่ยงล้มกระดาน

มีคำเตือนจาก "จรัญ ภักดีธนากุล" ต่อการแก้ รธน. หากไม่ขีดกรอบ ห้ามแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 อาจเป็นจุดเสี่ยง ล้มกระดาน แม้สูตร 20 หยิบ 1 จะได้รับคำชม ต่อการปันผลประโยชน์ก็ตาม
KEY
POINTS
- มีการเสนอสูตร "20 หยิบ 1" ในการคัดเลือกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มการเมืองสามารถ "ล็อกสเปก" ตัวแทนของตนเองได้
- สูตรดังกล่าวอาจทำให้ขั้วรัฐบาล และ สว. ซึ่งมีเสียงข้างมากในรัฐสภา สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้ง ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และครองเสียงข้างมากในคณะกรรมาธิการได้
- ประเด็นขัดแย้งสำคัญคือ ข้อเสนอที่ยืนยันให้ "ห้ามแก้ไขเพิ่มเติม" รัฐธรรมนูญในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญล้มเหลว
แม้ว่า สูตรเพื่อให้ได้มาซึ่ง “กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คน ตามที่ มติข้างมาก ของ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา คิดค้น ที่ชื่อว่า “20 หยิบ 1” จะมีข้อกังขา
ต่อผลลัพธ์ ที่อาจได้ “ตัวแทน” ซึ่งไม่เป็น “กลางที่สุด” เข้าไปทำเนื้อหา “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่ถูกคาดหวังว่า จะได้เนื้อหาที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง
เพราะสูตรที่เขียนขึ้นนั้น มีจุดที่ชี้วัดว่า สมาชิกรัฐสภา ที่ประกอบด้วย “สส.” และ “สว.” ซึ่งแบ่งขั้ว-แบ่งสีชัดเจน สามารถรวมกลุ่มกันได้ กลุ่มละ 20 คน ได้สิทธิจัดตั้ง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ได้ 1 คน แบบไม่ต้องลงมติแข่งขัน
กลไกของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ออกแบบตอนนี้ กำหนดให้ “ประชาชน” ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และมีประชาชนรับรอง 100 คน ซึ่งยื่นสมัคร ผ่าน “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.)
ทว่าในโมเดลนี้ ยังเปิดช่องให้ “สมาชิกรัฐสภา” วางคนของตัวเอง-ล็อกสเปก 35 อรหันต์ ไว้ได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งมีประเด็นคำถามด้วยว่า จะได้ “กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนประชาชน ซึ่งมีความจำเพาะในเชิงประเด็น ที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงการคิดสูตร เพื่อตอบโจทย์ผลประโยชน์ทางการเมือง ที่ขณะนี้ถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ “ฝ่ายก้าวหน้า-ฝ่ายอนุรักษนิยม” โดยเฉพาะการแบ่งพื้นที่ให้ “ฝ่ายก้าวหน้า” ที่เสียผลประโยชน์มาตลอด มีที่ยืนในการจัดสรรผลประโยชน์บนกติกาสำคัญระดับประเทศ
กับประเด็นนี้ “อ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถอดรหัสสูตร 20 หยิบ 1 ได้ว่า ไม่สามารถปิดช่อง ไม่ให้เสียงข้างมากลากไปได้แท้จริง เพราะหากตั้งต้นว่าให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่ม 20 คน จะได้เลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ได้ 1 คน เท่ากับว่า พรรคการเมืองที่สามารถรวมกลุ่มกันได้ เช่น ขั้วพรรครัฐบาล ที่รวม สส. ได้เกิน 200 เสียง สามารถจัดตั้ง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ได้เกิน 10 คน เมื่อรวมกับ สว.ปัจจุบันที่พบว่ามี 167 เสียง สนับสนุนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับ “พรรคภูมิใจไทย” เท่ากับว่า สว. มีสิทธิหยิบผู้ร่างได้ 8 คน เมื่อ 2 ขั้วนี้มารวมกัน อาจทำให้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเกินเสียงข้างมากได้
ทว่าบทพิสูจน์ว่า “สูตร 20 หยิบ 1” นี้จะได้ผลตามเจตนารมณ์ของ “กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ของรัฐสภา” หรือไม่ ต้องไปรอลุ้นหลังการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป ช่วงต้นปี 2569 ซึ่งประเด็นนี้ “อ.สิริพรรณ” พยากรณ์ไว้ว่า จะไม่มีพรรคการเมืองใดที่ชนะเลือกตั้ง ได้ สส. เข้าสภา เกิน 200 เสียง
กับอีกมุมของ “อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ-จรัญ ภักดีธนากุล” มองว่าสูตร 20 หยิบ 1 นั้น คือ สูตรที่จัดสรรปันส่วนให้ “ฝ่ายการเมือง” พอรับกันได้ โดยเฉพาะฝ่ายเสียงข้างน้อย
ขณะที่ในมุมของ “กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ” ฝั่ง “พรรคเพื่อไทย" ที่ไม่ยินดีกับสูตร 20 หยิบ 1 แต่สงวนท่าทีผ่านการงดออกเสียง มองเห็นจุดอ่อนว่า อาจเปิดช่องให้ “ฮั้วกันได้ในพรรคการเมือง-ระหว่างพรรคการเมือง และนายทุนที่ต้องการเข้ามาครอบงำการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
เนื่องจากไร้ข้อกำหนดของการ “รวมกลุ่มของสมาชิกรัฐสภา” ที่รัดกุมเพียงพอต่อการป้องกันการรวมกลุ่มเพื่อ “ฮั้ว” โดยเฉพาะการเปิดให้ “สมาชิกรัฐสภา” รวมกลุ่มกันได้อย่างอิสระ พรรคใครพรรคมัน หรือ พวกใครพวกมัน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า “ผู้อาวุโสของพรรคเพื่อไทย” เล็งเห็นอนาคตว่า ภายหลังการเลือกตั้ง อาจไม่ใช่พรรคที่กลับมายิ่งใหญ่ และเมื่อรวมเสียง สส.ในสภาฯ แล้วอาจตกเป็น “ฝ่ายข้างน้อย” ที่ไม่สามารถงัดคาน “ฝ่ายข้างมาก” ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เหมือนในปัจจุบัน
อีกทั้งกังวลว่า หากการเลือกตั้งเพลี่ยงพล้ำ จะส่งผลต่อการกำหนดทิศทาง ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ไม่สามารถแก้โจทย์ ที่ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” วางเป็นค่ายกล เพื่อสกัดการแผ่ขยายอำนาจฝั่งสีแดง มาตั้งแต่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560
มีความเคลื่อนไหวต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่ล่าสุดนั้น เดินหน้าไปถึงไฮไลต์ ที่ว่า การกำหนดกรอบจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีประเด็นเห็นต่าง คือ กมธ.ฝั่ง พรรคภูมิใจไทย ผสมกับ “กมธ.ฝั่ง สว.” ยืนยันต่อการ “ห้ามแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 1 บททั่วไป และ หมวด 2 พระมหากษัตริย์” ตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560
ส่วน “กมธ.ฝั่งพรรคประชาชน” ที่เป็นผู้กำหนดทิศทางของการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งยืนยันต่อการปกป้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคประชาชนเสนอ เห็นต่างออกไป เพราะมองว่าแทนการเขียนห้าม ที่สื่อนัยทางลบ ควรกำหนดในเชิงประเด็นว่า ควรวางหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะมีไว้ เพื่อเป็นหลักประกัน ไม่ใช่ “ตีเช็คเปล่า”
ตามร่างแก้รัฐธรรมนูญ ของพรรคประชาชน วางหลักประกันที่รัฐธรรมนูญใหม่ ควรมี ไว้ทั้งหมด 9 ข้อ อาทิ รับรองความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวแบ่งแยกไม่ได้ -ให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข -ออกแบบสถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน และมีความเป็นประชาธิปไตย-วางกลไกตรวจสอบ ขจัดทุจริตที่มีประสิทธิภาพ-จำกัดการใช้ดุลยพินิจขององค์กรรัฐ-วางหลักให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามฉันทามติของประชาชนหรือผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น
ทว่า 9 ข้อที่ว่านั้น ยังถูกตีความในเชิง “ไม่ไว้ใจ” ว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ “รัฐสภา” จัดตั้ง 35 คนนั้น จะไม่นำไปสู่การเขียนรัฐธรรมนูญที่ “สังคม” ไม่พึงประสงค์
ตามคำที่ “อ.จรัญ” บอกไว้บนเวทีสัมมนาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ตอนหนึ่ง ระบุว่า “อย่าเผลอปล่อยให้ เซาะกร่อน บ่อนทำลาย หมวด 1 และ หมวด 2 เพราะหากไปแตะ รวมถึงมาตราอื่นที่มีรากฐานมาจากหมวด 1 และ หมวด 2 อาจมีปัญหา ซึ่งไม่ใช่ปัญหาระหว่างคุณกับผม แต่เป็นปัญหาของประเทศ และปวงชนชาวไทย”
ดังนั้นแม้ว่า “กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ” จะหวังดีต่อการออกแบบระบบ เพื่อเป็นกลไกจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ภายใต้ข้อจำกัด ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วางไว้ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ทว่าในประเด็นที่ยังมี ผู้มีส่วนได้ และส่วนเสีย ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เสียงข้างมาก” มักชนะทุกทาง
ดังนั้นหาก “ต้องการ วิน-วิน” หรือ “ทริปเปิลวิน” ให้ “ฝ่ายข้างมาก-ข้างน้อย-ประชาชน” ชนะร่วมกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดจุดเสี่ยง ที่ทำให้การปูทางสู่ “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” นั้นสะดุดหยุดลง ซึ่งขณะนี้มีเสียงเตือนเกิดขึ้นแล้ว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







