‘ฮั้วสว.-เลือกตั้ง69’2 ฉากทัศน์ วัดฝีมือ‘ประธานกกต.ป้ายแดง’

กกต. มีมติเลือก ณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นประธานคนใหม่ ซึ่งต้องเผชิญบททดสอบสำคัญ 2 เรื่อง คือคดีฮั้วสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และการจัดการเลือกตั้งปี 2569
KEY
POINTS
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเลือก ณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นประธานคนใหม่ ซึ่งต้องเผชิญบททดสอบสำคัญ 2 เรื่อง คือคดีฮั้วสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และการจัดการเลือกตั้งปี 2569
- ภารกิจแรกคือการพิจารณาคดีฮั้ว สว. ที่มีนักการเมืองรุ่นใหม่และกลุ่ม "บ้านใหญ่" เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเกิดคำถามเรื่องความเป็นกลาง เนื่องจาก กกต. ชุดใหม่ได้รับการรับรองโดย สว. ชุดที่ถูกกล่าวหา
- ภารกิจที่สองคือการจัดการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2569 ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นให้มีความสุจริตและโปร่งใส ท่ามกลางข้อกังขาเรื่องความสัมพันธ์ของ สว. ผู้เลือก กกต. กับพรรคการเมือง
ในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเคาะเลือก “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา นั่งเก้าอี้“ประธานกกต.” คนใหม่ แทน “อิทธิพร บุญประคอง” ที่หมดวาระ ซึ่ง “ณรงค์” ชนะไปอย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เสียงของ “สิทธิโชติ อินทรวิเศษ” กกต. สายตุลาการเช่นเดียวกัน
ว่ากันว่าในการประชุม กกต.วานนี้ (18 พ.ย.) มีการเสนอชื่อ 3 คนเข้าชิงดำ “ประธาน กกต.” มาจากขั้ว สว.ใหม่ปี 2567 จำนวน 2 คนคือ ณรงค์ กลั่นวารินทร์ และณรงค์ รักร้อย มาจากขั้ว สว.ยุค คสช. 1 คนคือ สิทธิโชติ อินทรวิเศษ อย่างไรก็ดีเดิมมีกระแสข่าวว่าจะมีแค่ 2 ชื่อคือ สิทธิโชติ และณรงค์ อดีตผู้ว่าฯอุทัยธานี ทว่ามีชื่อของ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” ร่วมเป็นแคนดิเดตด้วยในช่วงนาทีสุดท้าย และได้รับการเลือกให้เข้าวินไป
ประวัติณรงค์ กลั่นวารินทร์ อายุ 65 ปี เป็นกกต.ที่ได้รับการเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งแทน ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี เข้าดำรงตำแหน่ง กกต.เมื่อวันที่ 30 ส.ค 2568 ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 2 (1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2559) ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (1 ต.ค. 2559 - 30 ก.ย. 2561) รองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (1 ต.ค. 2561 - 30 ก.ย. 2562) อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลาง (1 ต.ค. 2562 - 30 ก.ย. 2564) ผู้พิพากษาศาลฎีกา (1 ต.ค. 2564 - 30 ก.ย. 2566) และตำแหน่งสุดท้ายคือผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา (1 ต.ค. 2566)
สำหรับที่มาของ กกต. 7 คนในปัจจุบัน แบ่งเป็น ได้แก่ 1.ที่มาจากการเห็นชอบโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยุค คสช. จำนวน 2 คน ได้แก่ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2561 ซึ่งทั้ง 2 คนจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ แต่ยังมีสิทธิเข้าร่วมประชุมเพื่อโหวตเลือกประธาน กกต.คนใหม่ได้ ทว่าไม่สามารถเป็นแคนดิเดตเพื่อลงแข่งเป็นประธานฯได้
2.ที่มาจากการเห็นชอบโดย 250 สว.สรรหายุคคสช. ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2566 จำนวน 2 คน ได้แก่ ชาย นครชัย และสิทธิโชติ อินทรวิเศษ 3.ที่มาจากการเห็นชอบโดย 200 สว. (เลือกไขว้) ภายหลังการเลือก สว.ปี 2567 จำนวน 3 คน ได้แก่ ณรงค์ กลั่นวารินทร์ ณรงค์ รักร้อย และอนันต์ สุวรรณรัตน์
3 แคนดิเดตชิงประธาน กกต.วานนี้ มาจากขั้ว สว.ใหม่ปี 2567 จำนวน 2 คนคือ ณรงค์ กลั่นวารินทร์ และณรงค์ รักร้อย มาจากขั้ว สว.ยุค คสช. 1 คนคือ สิทธิโชติ อินทรวิเศษ
ดังนั้นเมื่อ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” ได้รับการโหวตด้วยเสียงข้างมากให้นั่งเก้าอี้ประธาน กกต.คนใหม่แล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้คือส่งเรื่องกลับไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อโปรดเกล้าฯดำรงตำแหน่งต่อไป
สำหรับฉากทัศน์ต่อไปขององค์กรอิสระอย่าง “กกต.” ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบอบประชาธิปไตยของไทย เพราะมีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม
ซึ่งการเฟ้นหาประธาน กกต.ครั้งนี้ ค่อนข้างดุเดือด เพราะถูกมองว่าเป็นตัวแปรชี้ขาดจะเอา กกต.เดิม ที่มีที่มาจากยุค คสช. หรือจะเอา กกต.ใหม่ ที่ยังไม่เคยเข้าทำงานแม้แต่วันเดียว เนื่องจากอยู่ระหว่างรอโปรดเกล้าฯ และมีที่มาจาก สว.ชุดใหม่ กำลังถูกครหาว่า มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “ขั้วน้ำเงิน”
บทบาทในการเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้ จึงกลายเป็นการต่อสู้เชิงความคิดระหว่าง “สายบริหาร” ที่เคยบังคับใช้กลไกของรัฐกับ “ฝ่ายตุลาการ” ที่บังคับใช้กฎหมายและยึดกระบวนการตีความอย่างเคร่งครัด ดังนั้นการเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้จึงเป็นฉากทัศน์สำคัญว่า อนาคตขององค์กรอิสระแห่งนี้ จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน เพราะหลังจากนี้ ประธาน กกต. และ กกต.จะต้องเผชิญแรงท้าทายสำคัญ 2 กรณี ได้แก่
1.คดีฮั้วสว.ที่อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาอยู่ โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ได้สรุปสำนวนข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว
มีข้อมูลบ่งชี้ว่า คนต้นคิดขบวนการฮั้ว สว.คือ “กลุ่มยังบลัด” และ สส.หน้าใหม่ ที่เป็นระดับ “ลูกท่านหลานเธอ” ทายาท “บิ๊กเนมนักเลือกตั้ง” ภายในพรรคการเมืองชื่อดัง อย่างน้อย 8 คน หลายคนเป็นที่รู้จักมักคุ้นแก่สาธารณะ และเป็นระดับ “บ้านใหญ่” ของหลายจังหวัดทั้งภาคอีสานใต้ และภาคกลาง เป็น “ผู้ริเริ่ม” หรือ “ร่วมสนับสนุน” วางแผนเพื่อดำเนินการฮั้ว สว.ดังกล่าว ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 70 มาตรา 76 มาตรา 77 (1) และมาตรา 62
ที่น่าสนใจ สว.ชุดที่ถูกกล่าวหาใน “คดีฮั้ว” กลับมีการให้ความเห็นชอบ กกต.เข้าทำหน้าที่ เบื้องต้น 2 ราย และยังต้องสรรหาให้ครบทั้ง 7 ราย ซึ่ง กกต.ที่ถูก สว.ชุดนี้สรรหานั้น จะต้องไปพิจารณาวินิจฉัยใน “คดีฮั้ว สว.” ทำให้เกิดการตั้งคำถามจากทุกภาคส่วนว่า จะเกิดมวยล้มต้มคนดูหรือไม่
มีกระแสข่าวสะพัดในหมู่ “สภาฯสูง” ว่า ภายหลังมี “พยานปากสำคัญ” กลับคำให้การในชั้นการสอบสวนของดีเอสไอ ในคดีฮั้ว สว. ส่งผลให้คดีฮั้ว สว.ในมือของ กกต.ที่คณะกรรมการฯ ชุดที่ 26 ไต่สวนเสร็จแล้วนั้น อาจมีการ “รื้อ” เพื่อไต่สวนใหม่ทั้งหมด
หรืออีกแนวทางหนึ่งคือ ตั้งคณะกรรมการฯชุดใหม่ เพื่อดำเนินการไต่สวนใหม่ ให้สิ้นกระแสความ ดังนั้นอาจทำให้“คดีฮั้ว สว.” ถูกยื้อให้ทอดเวลานานออกไปอีก
2.การจัดการเลือกตั้งในปี 2569 โดยมีทั้งการเลือกตั้ง สส.ระดับชาติ การเลือกตั้ง อบต. และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ที่สำคัญ สว.ชุดนี้ที่เลือก กกต.เข้าไปทำหน้าที่ มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค อาจถูกมองว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งหน้าจะทำได้อย่างสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรมหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ในผลการเลือกตั้งที่จะออกมาด้วย
ทั้งหมดคือ 2 ฉากทัศน์สำคัญ ในมือ “ประธาน กกต.” ชุดใหม่ ที่กำลังถูกสาธารณชนจับตามอง ถึงแนวทางการทำงาน และการบริหารจัดการการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ที่จะถึงนี้







