จำแนก 3 ขั้ว กกต. จับตา ‘ณรงค์-สิทธิโชติ’ ใครเข้าวินประธานคนใหม่

เลือกตั้งประธาน กกต. คนใหม่ เป็นการแข่งขัน 2 ตัวเต็ง คือ สิทธิโชติ อินทรวิเศษ และณรงค์ รักร้อย กกต. ทั้ง 7 คน แบ่งออกเป็น 2 ขั้วหลักที่สนับสนุนผู้สมัครแต่ละฝ่ายเท่ากัน
KEY
POINTS
- การเลือกตั้งประธาน กกต. คนใหม่เป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ตัวเต็ง คือ นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ และนายณรงค์ รักร้อย
- กกต. ทั้ง 7 คน แบ่งออกเป็น 2 ขั้วหลักที่สนับสนุนผู้สมัครแต่ละฝ่ายเท่ากัน โดยมีนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ เป็นเสียงชี้ขาด
- การชิงตำแหน่งสะท้อนการต่อสู้ระหว่างกลุ่ม "สายตุลาการ" ที่สนับสนุนนายสิทธิโชติ และกลุ่ม "สายบริหาร" ที่สนับสนุนนายณรงค์
- ประธาน กกต. คนใหม่จะต้องรับมือกับภารกิจสำคัญ ทั้งคดีฮั้ว สว. และการจัดการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2569
กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก สำหรับการโหวตเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ประธาน กกต.) คนใหม่ ในวันนี้ (18 พ.ย.) โดยที่ประชุม กกต.จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป หลังจากสำนักเลขาธิการวุฒิสภาได้มีหนังสือแจ้งถึงนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้สำนักงาน กกต.พิจารณาดำเนินการจัดให้นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ และนายณรงค์ รักร้อย 2 ว่าที่ กกต. ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา และได้ลาออกจากตำแหน่งหรือเลิกประกอบวิชาชีพ ตามที่มาตรา 13 ประกอบ มาตรา 10 (20) (21) (22) และ (23) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. กำหนดแล้ว
สำหรับ 2 แคนดิเดตตัวเต็งที่มีแนวโน้มจะ “ชิงดำ” กัน ได้แก่ สิทธิโชติ อินทรวิเศษ กกต.ปัจจุบัน และ ณรงค์ รักร้อย 1 ใน 2 ว่าที่ กกต.ใหม่ สนใจที่จะดำรงตำแหน่งนี้เช่นกัน ว่ากันว่าได้รับแรงสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะจากทาง สว.สีน้ำเงิน
โดย สิทธิโชติ ก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง กกต.เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้า คณะในศาลฎีกา และประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา และได้รับการเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 222 (2)
ส่วน ณรงค์ ก่อนได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่ง กกต.เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และก่อนหน้านั้นในช่วงปี 2561 -2564 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี
ปัจจุบันจำนวน กกต.มีทั้งสิ้น 7 คน แบ่งเป็น 3 ที่มา ได้แก่ 1.ที่มาจากการเห็นชอบโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยุค คสช. จำนวน 2 คน ได้แก่ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2561 ซึ่งทั้ง 2 คนจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ แต่ยังมีสิทธิเข้าร่วมประชุมเพื่อโหวตเลือกประธาน กกต.คนใหม่ได้ ทว่าไม่สามารถเป็นแคนดิเดตเพื่อลงแข่งเป็นประธานฯได้
2.ที่มาจากการเห็นชอบโดย 250 สว.สรรหายุค คสช. ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2566 จำนวน 2 คน ได้แก่ ชาย นครชัย และสิทธิโชติ อินทรวิเศษ
3.ที่มาจากการเห็นชอบโดย 200 สว. (เลือกไขว้) ภายหลังการเลือก สว.ปี 2567 จำนวน 3 คน ได้แก่ ณรงค์ กลั่นวารินทร์ ณรงค์ รักร้อย และอนันต์ สุวรรณรัตน์
มีกระแสข่าวว่า ทั้ง 7 คน ได้แบ่งออกเป็น 2 ขั้วหลักคือ 1.กลุ่มสนับสนุน “ณรงค์ รักร้อย” อดีตผู้ว่าฯ อุทัยธานี เป็นประธาน กกต.คนใหม่ โดยมีเสียงเล่าอ้างว่า ได้รับแรงสนับสนุนจาก “บ้านใหญ่” และกลุ่มขั้ว “สีน้ำเงิน” โดยกลุ่มที่สนับสนุน “ณรงค์” มี 3 คน ได้แก่ ตัวเขาเอง อนันต์ สุวรรณรัตน์ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ และเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ
2.กลุ่มสนับสนุน “สิทธิโชติ อินทรวิเศษ” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา มีผู้สนับสนุน 3 คนเช่นกัน ได้แก่ ตัวเขาเอง ณรงค์ กลั่นวารินทร์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และชาย นครชัย อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ดังนั้นจึงเหลือตัวแปรสุดท้ายคือ “ฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ” ที่เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือก ประธาน กกต.ที่เคยเป็น “ผู้พิพากษา” เหมือนตัวเขาเอง หรือเลือก “ฝ่ายบริหาร” ภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย มาก่อน
ว่ากันว่า การเฟ้นหาประธาน กกต.ครั้งนี้ ค่อนข้างดุเดือด เพราะจะเป็นตัวแปรชี้ขาดว่า จะเอา กกต.เดิม ที่มีที่มาจากยุค คสช. หรือจะเอา กกต.ใหม่ ที่ยังไม่เคยเข้าทำงานแม้แต่วันเดียว เนื่องจากอยู่ระหว่างรอโปรดเกล้าฯ และมีที่มาจาก สว.ชุดใหม่ ซึ่งกำลังถูกครหาว่า มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “ขั้วน้ำเงิน”
นอกจากนี้บทบาทในการเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้ คาดว่าจะกลายเป็นการต่อสู้เชิงความคิดระหว่าง “สายบริหาร” ที่เคยบังคับใช้กลไกของรัฐกับ “ฝ่ายตุลาการ” ที่บังคับใช้กฎหมาย และยึดกระบวนการตีความอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นการเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้จึงเป็นฉากทัศน์สำคัญว่า อนาคตขององค์กรอิสระแห่งนี้ จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน เพราะหลังจากนี้ ประธาน กกต. และ กกต.จะต้องเผชิญแรงท้าทายสำคัญ 2 กรณี ได้แก่
1.คดีฮั้ว สว.ที่อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาอยู่ โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ได้สรุปสำนวนข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว มีข้อมูลบ่งชี้ว่า คนต้นคิดขบวนการฮั้ว สว.คือ “กลุ่มยังบลัด” และ สส.หน้าใหม่ ที่เป็นระดับ “ลูกท่านหลานเธอ” ทายาท “บิ๊กเนมนักเลือกตั้ง” ภายในพรรคการเมืองชื่อดัง อย่างน้อย 8 คน หลายคนเป็นที่รู้จักมักคุ้นแก่สาธารณะ และเป็นระดับ “บ้านใหญ่” ของหลายจังหวัดทั้งภาคอีสานใต้ และภาคกลาง เป็น “ผู้ริเริ่ม” หรือ “ร่วมสนับสนุน” วางแผนเพื่อดำเนินการฮั้ว สว.ดังกล่าว ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 70 มาตรา 76 มาตรา 77 (1) และมาตรา 62
ที่น่าสนใจ สว.ชุดที่ถูกกล่าวหาใน “คดีฮั้ว” กลับมีการให้ความเห็นชอบ กกต.เข้าทำหน้าที่ เบื้องต้น 2 ราย และยังต้องสรรหาให้ครบทั้ง 7 ราย ซึ่ง กกต.ที่ถูก สว.ชุดนี้สรรหานั้น จะต้องไปพิจารณาวินิจฉัยใน “คดีฮั้ว สว.” ทำให้เกิดการตั้งคำถามจากทุกภาคส่วนว่า จะเกิดมวยล้มต้มคนดูหรือไม่
2.การจัดการเลือกตั้งในปี 2569 โดยมีทั้งการเลือกตั้ง สส.ระดับชาติ การเลือกตั้ง อบต. และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ที่สำคัญ สว.ชุดนี้ที่เลือก กกต.เข้าไปทำหน้าที่ มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค อาจถูกมองว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งหน้าจะทำได้อย่างสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรมหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ในผลการเลือกตั้งที่จะออกมาด้วย







