เปิดคำพิพากษาฎีกา คดีเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป'ทักษิณ' 1.7 หมื่นล้าน

เปิดคำพิพากษาฎีกา คดีเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป'ทักษิณ' 1.7 หมื่นล้าน

เปิดรายละเอียด 'ศาลฎีกา' พิพากษากลับ 'ทักษิณ' ต้องเสียภาษีขาย 'หุ้นชินคอร์ป' 1.76 หมื่นล้าน ชี้ให้ 'ลูก' ถือหุ้นแทน ธุรกรรมไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์

KEY

POINTS

  • ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้นายทักษิณ ชินวัตร แพ้คดีที่ฟ้องกรมสรรพากรเพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินภาษี
  • คำพิพากษาส่งผลให้นายทักษิณต้องชำระภาษีหุ้นชินคอร์ป พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท
  • ศาลชี้ว่าการให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทนเพื่อเลี่ยงข้อกฎหมายด้านการเมือง เป็นธุรกรรมที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและมิชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2568 ที่ศาลภาษีอากร ถ.เเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร คดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ (จำเลยที่ 2) ,นายประภาส สนั่นศิลป์ (จำเลยที่ 3) และ นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 4) ขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 ที่แจ้งให้ นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี ,เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร

ศาลฎีกาพิจารณาเเล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อ วัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง และแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย

ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงด และลดเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้อง ด้วยฎีกาของกรมสรรพากรกับพวก จำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับยกคำฟ้องโจทก์ 

ภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าว ส่งผลให้นายทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ของกรมสรรพากร ตามขั้นตอนที่กรมสรรพากร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ เรื่องขอให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท หมายรวมค่าภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ให้กับกรมสรรพากร กรณีขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็ก ซึ่งดำเนินการผ่าน บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 ก.ค.2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ จากนั้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2566 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์