‘รัฐบาล’ กดดัน ‘กัมพูชา’ ขอโทษ ปมทุ่นระเบิด ‘สหรัฐฯ-มาเลย์’ รับข้อเสนอไทย

“โฆษกรัฐบาล” ลั่น ไทยขอสงวนสิทธิ์ ตอบโต้ “กัมพูชา” กลาโหม เผย ลุยเก็บกู้ระเบิด 13พื้นที่ ระงับถอนอาวุธหนัก “กต.” เผย สหรัฐฯ-มาเลย์ รับข้อเสนอ แยกปมการค้าจากความมั่นคง2ชาติ กดดัน “กัมพูชา” ขอโทษ แสดงความรับผิดชอบ ไม่ให้เกิดเหตุทหารโดนบึ้มอีก ตร.เผย ผนึก6ชาติ ปราบสแกมเมอร์ ไทยจ่อเป็นเจ้าภาพประชุมระดับรัฐมนตรี ยกประเด็นละเมิดอนุสัญญาออตตาวาเวทีรัฐภาคี ธ.ค.นี้
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลง สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ โดยนายสิริพงศ์ กล่าวว่า ตั้งแต่10พ.ย.ที่ผ่าน มีเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชาวางใหม่ หลังลงนามปฏิญญาสันติภาพ ที่กัวลาลัมเปอร์ และก้าวย่างต่อไปของรัฐบาลจากนี้โดยนายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไปปัญหาชายแดนและต้องการบรรลุข้อตกลงการค้าให้สำเร็จด้วยดี เพื่อประโยชน์ของคนไทยและธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ
“รัฐบาลและกองทัพ ยืนยันที่จะใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิ์ในการที่จะตอบโต้หากโดนยั่วยุตามความเหมาะสม” โฆษกรัฐบาล กล่าว
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด 6ครั้ง ระหว่าง16ก.ค.ถึงก่อน10พ.ย.ล้วนอยู่ในอธิปไตยไทย เราตั้งข้อสงสัยตลอดเวลาทำไมถึงมีทุ่นระเบิดเหล่านี้ จนทหารบาดเจ็บ16นาย โดย6นายขาขาด และเหตุล่าสุด อยู่ในอาณาเขตไทย บริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ขาขาดเพิ่มอีก1ราย บาดเจ็บอีก3ราย รวมทั้งสิ้น ขาขาด7นาย และบาดเจ็บ13นาย รวม20นาย ทั้งนี้ รูปแบบการวางกับระเบิด เป็นกลุ่ม หากทหารเหยียบแล้วบาดเจ็บล้มลงทับกับทุ่นระเบิดที่เหลืออันตรายถึงชีวิต เป็นสิ่งที่กัมพูชาดำเนินการมาตลอด ฝ่ายไทยมีการรายงานคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา มาตลอด ว่าไทยไม่มีการครอบครอง ทุ่นระเบิด PMN-2 เก็บสะสมหรือเพื่อวิจัยตั้งแต่ ส.ค.62 และทำลายหมดแล้ว ข้อสังเกตที่ว่าไทยวางกันเองนั้น เราไม่มีทุ่นระเบิดดังกล่าว และฝ่ายกัมพูชา ขัดขวางการเก็บกู้16ครั้งที่ชัดเจน และมีคลิปวีดิโอทหารกัมพูชากำลังวางระเบิดซึ่งได้จากโทรศัพท์ที่ตกหลังการปะทะ หลักฐานต่างๆ ปรากฎชัดเจนกัมพูชาละเมิดปฏิญญาสันติภาพ ฝ่ายไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะระงับปฏิญญาร่วม โดยระงับการปฏิบัติตามแผนการถอนอาวุธหนัก แต่เรายังเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทย 13พื้นที่ กองทัพไทยยืนยันความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และการปล่อย18เชลยศึก เป็นเรื่องสุดท้ายเมื่อกัมพูชาสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์
ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การปราบสแกมเมอร์ ผบ.ตร.ได้ยกระดับให้เป็นภารกิจสำคัญ โดยผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ ห้วง2สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจับกุมคนร้าย7พันกว่าราย ทั้งอาชญากรรมออนไลน์ ทุกประเภท รวมถึงขบวนการซิมผี บัญชีม้า ลักลอบนำคนไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน และมีการจับกุมเว็บไซต์การพนันรายเล็กรายใหญ่ ยึดทรัพย์สินกว่า41ล้าน ประสานปิดกั้นแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สำรวจเสาสัญญาณ จุดที่มีการลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศเพื่อนบ้าน กว่า1,600จุด จะประสาน กสทช.ดำเนินการต่อไป
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการในต่างประเทศ เมื่อ14พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางเยือนจีน เพื่อประชุม6ชาติ ได้แก่ จีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งทั้ง6ประเทศมีภัยคุกคามที่คล้ายกันคือสแกมเมอร์ โดยที่ประชุมได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันนำไปสู่ข้อริเริ่ม ว่าด้วย การปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคม และออนไลน์ ในหลายด้าน อาทิ ทุกประเทศจะใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ไม่ปล่อยให้มี Safe Heaven ในภูมิภาคหรือประเทศตัวเอง ปฏิบัติการกวาดล้าง ล้อมปราบฐานพนันออนไลน์และศูนย์สแกม จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการปฏิบัติสอบสวน การเก็บพยานหลักฐานในคดีต่างๆ การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรม ตกลงส่งตัวผู้ต้องหาไปยังประเทศที่ต้องการตัว อายัดติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดีคืนผู้เสียหาย การพัฒนาประสานข่าวกรองข้ามแดน สนับสนุนการปฏิบัติการระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนแนวทางการกำกับแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ ระบบชำระเงินและคริปโท โดยกรอบความร่วมมือนี้ คาดว่าจะมีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ดำเนินการเชิงรุกอย่างเข้มข้น
ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทันทีทุกระดับ ไม่เหลือช่องว่างใดๆ หลังเกิดเหตุการณ์ ซึ่งกัมพูชาละเมิดปฏิญญา และได้ชี้แจงพร้อมหารือกับสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย โดยนายกฯ มีหนังสือถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ใจความสำคัญคือ ไทยยึดมั่นในเส้นทางแห่งสันติภาพ เคารพ และปฏิบัติตามปฏิญญามาโดยตลอด แต่การละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน รวมทั้งประกันความปลอดภัยของประชาชน เราจึงมีความจำเป็นต้องระงับการปฎิบัติตามปฏิญญาชั่วคราว และไทยจะกลับมาปฏิบัติตามอีกครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีและความจริงใจของกัมพูชา
นายนิกรเดช กล่าวว่า นายกฯ ได้หารือทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐฯและมาเลเซีย แบ่งเป็น3ประเด็นสำคัญคือ 1.นายกฯ ขอให้แยกประเด็นทวิภาคีของไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคง ออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวกับประเทศอื่น 2.ขอให้นายอันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียน ช่วยหาแนวทางฟื้นฟูสันติภาพ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทยคือให้กัมพูชาขอโทษ และสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้นอีก และ3. ผู้นำทั้งสองแสดงความเข้าใจ และรับพิจารณาข้อเสนอของไทย ทั้งนี้ หลังการหารือนายกฯ มีหนังสือฉบับหนึ่งถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำท่าทีของไทย และความสำคัญที่กัมพูชาต้องปฏิบัติตามข้อตกลง โดยเฉพาะการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งชัดเจนว่าเป็นผู้ดำเนินการ และต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้น ขึ้นอยู่กับกัมพูชา จะกำหนดอนาคตของปฏิญญา
ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศมีกำหนดร่วมประชุมเวที Indo-Pacific Ministerial Forums ครั้งที่4กับสหภาพยุโรป และตลอดสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า จะพบกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศในประเทศไทย โดย25พ.ย.นี้ จะร่วมกิจกรรมที่ FCCT สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ นอกจากนี้ ไทยจะยกประเด็นละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา ครั้งที่22 ระหว่าง1-5 ธ.ค. ที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คาดว่ามีผู้แทนระดับสูงของกระทรวงไปร่วมเอง และไทยจะเดินหน้าในสิ่งที่ไทยเสนอในเวทีอาเซียนซัมมิต และเอเปค เรื่องออนไลน์สแกม ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรม หลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต ในระดับรัฐมนตรี เดือน ธ.ค. นี้
“ขอยืนยันว่าเราดำเนินการการทูตเชิงรุกในทุกกรอบในทุกเวทีอย่างทันท่วงที” นายนิกรเดช กล่าว







