เบื้องหลัง อสส.อุทธรณ์คดี ม.112 'ทักษิณ' แจงชัด ปัดกลับมติตัวเอง

เบื้องหลัง อสส.อุทธรณ์คดี ม.112 'ทักษิณ' แจงชัด ปัดกลับมติตัวเอง

เปิดเบื้องหลัง! อสส.ยันยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 'ทักษิณ' อธิบายละเอียดปัดกลับมติตัวเอง ขั้นตอนต่อไปส่งให้อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ดำเนินการต่อ

KEY

POINTS

  • อัยการสูงสุด (อสส.) มีคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 ของนายทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง
  • ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการพิจารณาคดี ม.112 ซึ่งมีนายอิทธิพร แก้วทิพย์ (อสส. คนปัจจุบัน) เป็นประธาน เคยมีมติ 8-2 เสียงเห็นควรไม่อุทธรณ์
  • อย่างไรก็ตาม คำสั่งอุทธรณ์ของ อสส. ไม่ถือเป็นการกลับความเห็นของตนเอง เนื่องจากขณะเป็นประธานคณะกรรมการฯ นายอิทธิพรไม่ได้ร่วมลงมติในครั้งนั้น
  • สำหรับคดีที่เกิดนอกราชอาณาจักร อำนาจในการพิจารณายื่นอุทธรณ์เป็นของอัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า ในการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดีกล่าวหา นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) พิพากษายกฟ้อง กรณีนายทักษิณให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 โดยกล่าวหาว่ามีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน โดยขั้นตอนการยื่นอุทธรณ์เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด (อสส.) เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เดิมมีการยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญามาแล้ว 2 ครั้ง โดยกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 21 พ.ย.นั้น

หลังมีรายงานว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อสส.คนใหม่ มีความเห็นว่า การกระทำนายทักษิณเป็นความผิดตามฟ้อง เห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาต่อไป ขั้นตอนต่อไปคำสั่งยื่นอุทธรณ์ของ อสส.ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด จะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ในฐานะเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า เดิมการพิจารณาอุทธรณ์สำนวนคดีนี้ เมื่อช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อสส.คนก่อน มีคำสั่งให้นำเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์นี้ เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดี ตามมาตรา112 ของอัยการ ขณะนั้นมีนายอิทธิพร อสส.คนปัจจุบัน เมื่อครั้งเป็นรอง อสส. เป็นประธานกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ 

โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ประชุมพิจารณาก่อนมีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ และส่งให้นายไพรัช อสส.ขณะนั้นพิจารณา อย่างไรก็ดีนายไพรัชยังไม่มีความเห็นเรื่องนี้ จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ หลังจากนั้นนายอิทธิพร เข้ามาดำรงตำแหน่ง อสส. ได้พิจารณาเรื่องนี้ต่อ และมีมติยื่นอุทธรณ์ในที่สุด

ส่วนกรณีคณะกรรมการพิจารณาคดี ตามมาตรา112 ของอัยการ เมื่อครั้งนายอิทธิพร เป็นประธานกรรมการ มีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ด้วยมติ 8-2 ดังกล่าวนั้น ในคราวประชุมนายอิทธิพร ไม่ได้ร่วมลงมติด้วย เนื่องจากเป็นมารยาทในฐานะประธานกรรมการ ดังนั้นคำสั่งอุทธรณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด จึงไม่ใช่เป็นการกลับความเห็นของนายอิทธิพรแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการ คือ คณะกรรมการที่ อสส.ตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั่วราชอาณาจักร ประกอบไปด้วย รอง อสส.ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นเลขานุการ โดยตำแหน่ง ส่วนคณะกรรมการ จะมาจากอัยการที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี และอธิบดีอัยการสำนักงานอาญาอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นสำนักงานที่ต้องรับคดีประเภทนี้โดยตรง

นอกจากนี้ยังมีอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนด้วย เนื่องจากบางคดีมีสำนวนที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ตรวจการอัยการบางคน และมีระดับรองอธิบดีอัยการบางสำนักงาน รวมกันกว่า 10 คน ขึ้นอยู่กับ อสส.ในขณะนั้นจะตั้งใครขึ้น  เป็นกรรมการทำหน้าที่พิจารณาสำนวนคดี มาตรา112 จากทั่วประเทศ ซึ่งคดีตามมาตรา112 จะสั่งฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯชุดนี้

อย่างไรก็ดี คดีของนายทักษิณ นั้น เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์เป็นของ อสส.การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี มาตรา 112 จึงเป็นการกลั่นกรองความเห็นให้ อสส. ไม่ใช่การสั่งคดีเหมือนในชั้นพิจารณาคดี มาตรา 112 ทั่วไป

ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ที่ยกฟ้องนายทักษิณ ให้เหตุผลว่า ผู้ที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอ ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร การสืบพยานหลักฐานโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิด จึงรับฟังไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์