บทพิสูจน์กระแสเลือกตั้ง 69 'ชาตินิยม VS มีเรา ไม่มีเทา'

บทพิสูจน์กระแสเลือกตั้ง 69  'ชาตินิยม VS มีเรา ไม่มีเทา'

สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ เชื่อมโยงไปจนถึงช่วงเลือกตั้งในต้นปีหน้า สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็น ได้สัมผัสไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็คือ การปลุกกระแสเพื่อการเลือกตั้ง

 โดยเฉพาะการชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางการเมือง พูดถึงการปลุกกระแสนิยมทางการเมือง ก่อนหน้านี้ พรรคส้ม หรือ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เคยประสบความสำเร็จจากการ “ขี่กระแส” มาตลอด ตั้งแต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ ประเทศไทยจำเป็นต้องยุติวงจรอุบาทว์รัฐประหาร

ด้วยแนวนโยบายประชาธิปไตย ปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด จนทำให้พรรคที่เพิ่งตั้งขึ้นมาได้เพียงปีเดียวประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่งผลการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 ได้ส.ส.ถึง 81 ที่นั่ง  

 ต่อมา “พรรคก้าวไกล” บ้านหลังที่สอง ของ “ดีเอ็นเอ” อดีตพรรคอนาคตใหม่ หลังถูกยุบพรรค กระแส “เบื่อประยุทธ์” กำลังมาแรง เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปี ทั้งนายกฯจากการรัฐประหาร และในการเลือกตั้งปี 2562

และยังคงตัดสินใจเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติอีก พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก็ฉวยโอกาสขี่กระแส “เบื่อลุง” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ขณะนั้น

เรียกกันสั้นๆว่า “ลุงตู่” ด้วยสโลแกน “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” จนก้าวไกลชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ได้ 151 ที่นั่ง อย่างก้าวกระโดด เหนือความคาดหมาย ในการเลือกตั้ง ปี 2566

ในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งหาก “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจ “ยุบสภา” ตามที่ตกลงเอาไว้กับพรรคประชาชน ตามภารกิจรัฐบาลเฉพาะกิจ ก่อนพรรคภูมิใจไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมีพรรคประชาชน โหวตเห็นชอบ “อนุทิน” เป็นนายกฯ การเลือกตั้งก็จะมีขึ้นอย่างแน่นอน

คราวนี้ ถึงเวลา “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้ที “ขี่กระแส” บ้าง และแล้ว ก็เป็นกระแสที่พรรคประชาชน “ชงเอง ตบเอง” อย่าง “มีเรา ไม่มีเทา” แม้ว่าจะเป็นคำที่ล้อมาจากสโลแกนเดิมของพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นฝีมือล้วนๆ อย่างไม่น่าอายแต่อย่างใด

ถ้าจะย้อนให้เห็น จุดเริ่มสำคัญน่าจะอยู่ที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชน กัดไม่ปล่อย เรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา กระทั่ง ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงฯ มีการนำเสนอเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดนเป็นวาระด่วน ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา(IPU) ครั้งที่ 151 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากคณะผู้แทนประเทศ ทำให้มีกระแสโลกโอบล้อมศูนย์กลางสแกมเมอร์ในกัมพูชา และเชื่อมโยงประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน และมีบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองเกี่ยวข้อง ทั้งทุนเทา และนักการเมืองสีเทา

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการทำงานอย่างสอดประสานกับ ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน แทบจะดับเครื่องชนนักการเมืองใหญ่รายวัน และแม้แต่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็ยังออกมาขู่รัฐบาลเตรียมปล่อยอาวุธหนักยื่นซักฟอก หากเมินเฉยต่อเรื่องอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งยังเสนอให้รัฐบาลไทย “ถือธงนำปราบสแกมเมอร์”

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเรื่องนี้ได้รับการขานรับจากกระแสสังคม ส.ส.พรรคส้มหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ, พริษฐ์ วัชรสินธุ, ธนเดช เพ็งสุข นำโดยหัวหน้าเท้ง “ณัฐพงษ์” ต่างพากันออกมากระทุ้ง “อนุทิน” อย่าเกียร์ว่างโยนแต่ฝ่ายความมั่นคงจัดการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อเห็นว่า เรื่องนี้มีน้ำหนักพอที่จะขยายผลมาเป็นกระแสเรียกคะแนนนิยมได้ พรรคประชาชน ก็ไม่รอช้า ประกาศแคมเปญแรกในการเลือกตั้งปี 2569 ทันที “มีเรา ไม่มีเทา”

อีกอย่าง ที่ทำให้กระแสเรื่องนี้ติดลมบน ก็เพราะมีคนดังในวงการแฉ และตำรวจใหญ่ ออกมาแฉรายวันเกี่ยวกับ นักการเมืองเทาและตำรวจที่ให้ความช่วยเหลือแก๊งสแกมเมอร์ด้วย  

ทั้งนี้ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เปิดเผยชุดนโยบายและแผนงานในการเลือกตั้งปี 2569(25 ต.ค.68)ว่า

1. มีเราไม่มีเทา: รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรม สแกมเมอร์ ทุนเทา การคอร์รัปชัน และการสร้างรัฐโปร่งใส

2. มีเรามีคุณภาพชีวิตดี: รวมนโยบายและแผนงานการพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การนำเสนอนโยบายความมั่นคงในโลกยุคปัจจุบัน

3. มีเรามีเศรษฐกิจใหม่: รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจ การลงทุน

4. มีเรามีประชาธิปไตย: รวมนโยบายและแผนงาน การพัฒนาระบบการเมือง รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ การพัฒนาพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ การกระจายอำนาจ และการพัฒนากระบวนการยุติธรรม

5. มีเราประเทศไทยมีอนาคต: รวมนโยบายและแผนงานการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการอัปสกิล ยกระดับความรู้ ทักษะความสามารถของประชาชนให้เท่าทันโลกปัจจุบันและอนาคต

“ขอย้ำอีกครั้งว่า ปัญหาของประเทศที่หมักหมมมานานพวกนี้ใครๆก็รู้ว่ามีอยู่ วันนี้หมดเวลาที่จะปล่อยปัญหาพวกนี้ต่อไป ถึงเวลาของพรรคประชาชนที่สามารถเอาจริงด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.นโยบายที่ลงลึกไปถึงแผนการปฏิบัติ 2.ทีมที่มีความสามารถ เชื่อมือได้ และ 3.เจตจำนงทางการเมือง เรื่องนี้พวกเราเดินมาเกือบ 8 ปี ไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้ว ประชาชนรู้ดีว่าพวกเราเป็นฝ่ายค้านก็ทำงานเต็มที่ เมื่อเป็นรัฐบาลก็สามารถมั่นใจได้ว่าเราเอาจริงแน่นอน”

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แคมเปญเลือกตั้ง “มีเรา ไม่มีเทา” ของพรรคประชาชน ถ้ามองผิวเผิน อาจเป็นทางออกที่ไม่ต้องชนอย่างจังกับกระแส “ชาตินิยม” กรณีไทยยังมีความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างสูง และมีความตึงเครียดตามแนวชายแดน ที่ยากจบลงง่ายๆ  ซึ่งก่อนหน้าพรรคประชาชน พยายามวิพากษ์วิจารณ์บทบาท “กองทัพ” ในการสู้รบกับกัมพูชา จนถูกมองว่า ไม่รักชาติ ไม่เห็นใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย เพราะแทนที่จะออกมาให้กำลังใจ แต่กลับวิจารณ์ทหาร เมินเฉยต่อการบาดเจ็บล้มตายจากการสู้รบ สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพลักษณ์และกระแสความนิยมของพรรคประชาชนตกลง

ขณะ “มีเรา ไม่มีเทา” อาจไม่เกี่ยวข้องกับกระแสชาตินิยมเลยก็ว่าได้ เพราะเป้าหมายอยู่ที่การปราบปราม “ทุนเทา” ที่นำเงินจากแก๊งสแกมเมอร์มาฟอกเงิน และนักการเมืองเทาที่เอาเงินเทามาฟอกตัวในสภาฯ รวมถึงซื้อตำแหน่งทางการเมืองอย่างที่เป็นข่าว

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาโดยตรง ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องดินแดน แต่เป็นเพราะ กัมพูชา เป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ดังนั้น ปัญหากัมพูชา ไม่ใช่แค่ปัญหารุกล้ำดินแดน ที่กองทัพ กำลังมีบทบาทในการรักษาดินแดนและอธิปไตยไทย แต่ยังเป็นปัญหาที่โลกให้ความสำคัญในการปราบปรามสแกมเมอร์ ที่มีข้อมูลว่า ผู้มีอำนาจในกัมพูชามีผลประโยชน์ด้วย

นั่นเท่ากับว่า พรรคประชาชน สนับสนุนการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา และสนับสนุนการปราบปรามทุนเทา นักการเมืองเทาในไทย ที่ไปเกี่ยวข้องกับ “แก๊งสแกมเมอร์” ในกัมพูชา นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม แม้ พรรคประชาชน เลือกที่จะหลีกเลี่ยงดับเครื่องชนกระแส “ชาตินิยม” ที่อาจกระทบกับคะแนนนิยมในกลุ่มคนรักชาติ รักแผ่นดิน แต่ด้วย “อุดมการณ์พรรค” ที่มี “ดีเอ็นเอ” ต่อต้านอำนาจกองทัพ จึงหลีกไม่พ้นอยู่ดี

อย่างล่าสุด (15 พ.ย.68) ความเห็นของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี อาจถือเป็นตัวแทนของ “กระแสชาตินิยม” เป็นอย่างดี

โดย นพ.วรงค์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “#ชาตินิยมยังดีกว่าชังชาติ”

นพ.วรงค์ ระบุว่า ผมรู้สึกดีใจมาก ที่วันนี้ไม่มีคนของพรรคประชาชน อย่างนายเท้ง มาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ได้ทราบการแถลงข่าว ของนายเท้งหัวหน้าพรรคประชาชน ต่อสภาพปัญหาชายแดนกัมพูชา รวมทั้งเรื่องscammer

ผมยังนึกไม่ออกว่า วันนี้ถ้านายเท้งเป็นนายกฯรัฐมนตรี นายเท้งจะจัดการปัญหาความเหิมเกริมของเขมรอย่างไร จะสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชน รวมทั้งพี่น้องทหารอย่างไร

เพราะนายเท้งคงต้องรอคำสั่งจากลูกพี่ อเมริกาว่าจะให้นายเท้ง ทำอะไรได้บ้างเมื่อทหารไทยขาขาด หรือแม้แต่ทหารเขมรยิงยั่วยุเข้ามา นายเท้งคงร้องไห้ โทรไปฟ้องคุณพ่อทรัมป์ว่า ถูกเขมรรังแกอีกแล้ว

นพ.วรงค์ ระบุอีกว่า สิ่งที่ต้องถามนายเท้ง ผมเห็นคุณชอบต่อว่า คนที่รักชาติ เป็นห่วงชาติ หวงแหนดินแดน ไม่ชอบให้ทหารเขมรมารังแกแบบลอบกัดว่า เป็นพวกชาตินิยม

นายเท้งไม่รู้หรือว่า ชาติที่จะเจริญ ประชาชนต้องมีความรักชาติ เป็น "ชาตินิยม" ชาติจึงจะเจริญ ไม่ใช่ "ชังชาติ" โชคดีที่ประเทศไม่ได้นายเท้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ประเทศไทยอาจจะเสี่ยงต่อคำ "สิ้นชาติ" ได้ในอนาคต.

นพ.วรงค์ โพสต์เรื่องนี้ หลังจาก “เท้ง” ณัฐพงษ์ แถลงข่าวกรณี “อนุทิน” สั่งระงับปฏิญญาสันติภาพไม่มีกำหนด ว่าจะไม่เป็นผลดีต่อไทย แม้ว่าจะเสียใจกับทหารไทยที่ถูกกับระเบิดขาขาด โดยเขาเห็นว่า ควรให้ฟ้องผู้นำสหรัฐฯและผู้นำอาเซียน หรือนานาประเทศ เพื่อกดดันแทน

นอกจากนั้น ภาพก่อนหน้านี้ที่ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เคยมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มอบอำนาจเด็ดขาดให้กองทัพตัดสินใจ กรณีปะทะกับกัมพูชา ทั้งยังตามมาด้วยส.ส.พรรคประชาชนหลายคน ออกมาวิจารณ์และด่ากองทัพ จนกลายเป็น “ภาพจำ” ของคนบางสวน ที่ทำให้พรรคประชาชนอยู่คนละขั้วกับกระแสชาตินิยมไปโดยปริยาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พรรคประชาชน จะเรียกคะแนนนิยมกลับมาได้ ก็คือ การปลุกกระแส “มีเรา ไม่มีเทา” จนถึงวันเลือกตั้ง ทั้งยังต้องเข้มข้นกับการคัดกรองผู้สมัครส.ส.ของพรรคอย่างชนิดหาบาดแผล “เทา” ไม่ได้แม้แต่น้อย จนไม่มีอะไรให้ใครแฉ เพราะอย่าลืม ช่วงเลือกตั้ง จะต้องมีการแฉกันสะบั้นหั่นแหลก ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ใช่ “มีเรา ไม่มีเทา”

เหนืออื่นใด สิ่งที่ต้องรับมือ และพลาดไม่ได้เป็นอันขาดเช่นกันก็คือ “กระแสชาตินิยม” ที่แตะนิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะเชื้อไฟที่มีอยู่ก่อน จะโหมไหม้อย่างแรงทันควัน

นี่คือ สิ่งที่คนไทยจะได้เห็นสองกระแสขับเคี่ยวกันอย่างชนิดแฟนใครแฟนมัน ในการเลือกตั้ง ปี 2569 อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เชื่อก็คอยดู!?