กลับคำคดีฮั้วเลือก สว. จับตากลเกมฟอกขาว ‘ขั้วน้ำเงิน’

การกลับคำให้การอาจส่งผลกระทบต่อคดีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคดีฟอกเงินในชั้นดีเอสไอ และคดีกล่าวหาอดีตรัฐมนตรีแทรกแซงองค์กรอิสระในศาลรัฐธรรมนูญ
KEY
POINTS
- พยานปากเอกในคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. กลับคำให้การในชั้นสอบสวนของดีเอสไอ โดยอ้างว่าคำให้การเดิมที่กล่าวหาพรรคภูมิใจไทย (ขั้วน้ำเงิน) เกิดจากการถูกข่มขู่ทางการเมือง
- การกลับคำให้การอาจส่งผลกระทบต่อคดีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคดีฟอกเงินในชั้นดีเอสไอ และคดีกล่าวหาอดีตรัฐมนตรีแทรกแซงองค์กรอิสระในศาลรัฐธรรมนูญ
- พยานยืนยันว่าไม่มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก สว. จริง แต่ให้การไปตามบทที่ถูกกำหนดไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานเท็จใส่ร้ายทางการเมือง
- คดีในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ถูกมองว่าเป็นความหวังสุดท้ายในการเอาผิดขบวนการฮั้วเลือก สว.
กลายเป็นเรื่องโอละพ่อขึ้นมาทันที พลันที่หนึ่งใน “พยานปากเอก” คดีฮั้ว สว. ดันกลับคำให้การในชั้นการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยพยานรายนี้ ทำบันทึกคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือเพื่อกลับคำให้การ ถึงอธิบดีดีเอสไอ และโดยหน่วยงานดังกล่าวลงเลขรับไว้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
พยานรายนี้อ้างว่า ที่เคยให้การว่าตนเอง รวมถึง สส. และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “พรรคภูมิใจไทย” รวมทั้งให้การสถานที่ที่เกี่ยวข้อง กล่าวหาว่า สนับสนุนให้บุคคลต่าง ๆ ได้เป็น สว. โดยมีการจัดทำโพยฮั้วเลือก สว. เพื่อให้การเลือก สว.เป็นไปโดยไม่สุจริต และไม่เที่ยงธรรมนั้น ขอยืนยันว่าคำให้การดังกล่าวเป็นการให้การอันเกิดจากการถูกข่มขู่
สรุปสาระสำคัญในคำให้การใหม่ แบ่งเป็น 5 ข้อ ได้แก่
1.พยานรายนี้เคยเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยจริง และมีความขัดแย้งกับพรรคช่วงหนึ่ง มี “ชายคนหนึ่ง” เข้ามาแจ้งให้ทราบว่า จะต้องถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองจากพรรคภูมิใจไทยในอนาคต รวมถึงบุตรชายด้วย ซึ่ง “ชายคนนี้” อ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นข้อหาได้ หากเปลี่ยนจาก “ผู้ต้องหา” มาเป็น “พยาน” ในคดี แต่มีเงื่อนไขว่าต้องให้การตามบทที่ได้กำหนดไว้ มิเช่นนั้นจะต้องหมดอนาคตทางการเมือง รวมถึงมีคดีความติดตัว จึงเกิดความกลัวเป็นอย่างมาก
2.บุคคลดังกล่าวยืนยันว่ารัฐบาล มีแผนจะใช้ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นเครื่องมือทำลายล้าง และใส่ร้ายทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีการเตรียมสร้างพยานหลักฐานใส่ร้ายตนว่า มีส่วนร่วมในการฮั้วเลือก สว. โดยต้องพ้นจากตำแหน่ง สส. และรับโทษทางอาญา แต่ถ้าคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กันตัวไว้เป็นพยาน จะไม่ต้องรับผิดชอบทางแพ่งและอาญา เนื่องจากรัฐบาลคุมหน่วยงานรัฐไว้หมดแล้ว เป็นเหตุให้ตนกลัว และยินยอมให้ความร่วมมือ
3.ยืนยันว่า คำให้การที่ได้ให้ไว้นั้น ความจริงแล้วไม่มีบุคคลใดกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก สว. แต่ได้ให้การไปตามบทที่อ้างว่า มีการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อเป็นพยานหลักฐานเท็จให้สอดคล้องกับผลการเลือก สว. เพราะไม่มีประจักษ์พยาน และไม่มีการยึดโพยได้จากคนรับเลือก สว.รายใด เป็นพยานที่ถูกสร้างภายหลัง
4.ผลการแทรกแซงของหน่วยงานรัฐข้างต้น เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งพรรคภูมิใจไทย เป็นเหตุให้ สว.รวมชื่อร้องศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่ามีการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม (ขณะนั้น) หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลดีเอสไอ และรองประธาน กคพ.
5.เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จึงรู้สึกในความปลอดภัยในชีวิต เนื่องจากกลุ่มคณะบุคคลที่สมรู้ร่วมคิด ให้ตนให้ถ้อยคำใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีอำนาจในรัฐบาลแล้ว จึงเป็นเหตุที่ต้องการแก้ไขข้อความให้ตรงกับความเป็นจริง คำให้การใด ๆ ที่ขัดหรือแย้งกับคำให้การครั้งนี้ ให้ถือคำให้การครั้งนี้ เป็นคำให้การที่ถูกต้องและเป็นความสัตย์จริงทุกประการ และไม่ประสงค์ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ส่งผลให้เงื่อนปมการสอบสวน “คดีฮั้ว สว.” กลายเป็น “เผือกร้อน” ขึ้นมาในทันที เพราะในช่วง “รัฐบาลสีแดง” คุมสรรพกำลังอำนาจอยู่นั้น เมื่อถึงจุด “แตกหัก” กับ “ขั้วน้ำเงิน” ได้เริ่มปฏิบัติการเด็ดรากถอนโคน “ขบวนการฮั้ว สว.” ขึ้นมา ซึ่งดูเผิน ๆ อาจสอดคล้องกับคำให้การของ “พยานรายนี้”
คดีฮั้ว สว.นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสืบสวนและไต่สวนใน 2 องค์กรของรัฐหลัก ๆ ได้แก่
1.คดีเลือก สว.เป็นไปโดยไม่สุจริต และไม่เที่ยงธรรม อยู่ในอำนาจการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ขึ้นมาไต่สวน โดยมีบุคลากรจากดีเอสไอมาร่วมด้วย ปัจจุบันได้สรุปผลการไต่สวนเสร็จแล้ว พร้อมชงเรื่อไปยังเลขาธิการ กกต. โดยรองเลขาธิการ กกต.ผู้ได้รับมอบหมายอยู่ระหว่างพิจารณา นำเสนอที่ประชุม กกต.ชี้ขาดต่อไป
2.คดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐาน อั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่มี “ดีเอสไอ” แม่งานสืบสวนสอบสวน ในข้อเท็จจริงมีการสอบพยานไปแล้วไม่ต่ำกว่า 90 ปาก และตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน พัวพันในพื้นที่ 45 จังหวัด ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการขยายผลสอบสวนเชิงลึกเพิ่มเติม
เบื้องต้น ยังมีพยานหลักฐาน หรือข้อมูลใดบ่งชี้ว่า “ดีเอสไอ” หรือ “กกต.” ที่เข้าไปสอบสวนคดีฮั้ว สว.นั้น มีการข่มขู่ หรือขืนใจตามที่ “พยานรายนี้” กล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้นคงต้องรอการพิสูจน์จากกระบวนการยุติธรรมให้เสร็จสิ้นกระบวนความเสียก่อน
ทว่าการ “กลับคำให้การ” ของ “พยานรายนี้” อาจส่งผลเสียร้ายแรง ต่อการสืบสวนสอบสวน “คดีฮั้ว สว.” ที่กินเวลามายาวนานนับปี ตั้งแต่การเลือก สว.สิ้นสุดลง เมื่อช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา โดยข้อเท็จจริงจากการสืบสวนของดีเอสไอ มีข้อสรุปบ่งชี้เชื่อได้ว่า มีขบวนการฮั้ว สว.เพื่อเลือกบุคคลใดให้มาดำรงตำแหน่งเป็น สว. โดยมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ขั้นสูง เพื่อให้ได้จำนวน สว.อย่างน้อย 140 คน จากทุกกลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของ “สว.สีน้ำเงิน” ที่ได้เข้า “สภาฯสูง” อย่างน้อย 138 คน และมีสำรอง 2 คน
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 พบข้อเท็จจริงน่าสนใจว่า คนต้นคิดขบวนการฮั้ว สว.คือ “กลุ่มยังบลัด” และ สส.หน้าใหม่ ที่เป็นระดับ “ลูกท่านหลานเธอ” ทายาท “บิ๊กเนมนักเลือกตั้ง” ภายในพรรคการเมืองชื่อดัง อย่างน้อย 8 คน หลายคนเป็นที่รู้จักมักคุ้นแก่สาธารณะ และเป็นระดับ “บ้านใหญ่” ของหลายจังหวัดทั้งภาคอีสานใต้ และภาคกลาง เป็น “ผู้ริเริ่ม” หรือ “ร่วมสนับสนุน” วางแผนเพื่อดำเนินการฮั้ว สว.ดังกล่าว ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 70 มาตรา 76 มาตรา 77 (1) และมาตรา 62
“กลุ่มยังบลัด” เหล่านี้ คิดริเริ่มในการวางแผนให้ได้มาซึ่ง สว. โดยมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ทั้งหมดได้จัดทำและวางระบบปฏิบัติการขึ้นมาในลักษณะเป็น “โปรแกรมออฟไลน์” จากนั้นคณะบุคคลดังกล่าวที่เป็นคนริเริ่ม ได้นำแผนการที่คิดไว้เตรียมไปนำเสนอในการประชุมกรรมการบริหารพรรคการเมืองชื่อดัง ณ สำนักงานใหญ่ โดยมีการนำเสนอแผ่นหน้าจอในการประชุมของพรรค โดยกล่าวอ้างว่ามี สส.พรรคการเมืองดัง และบุคคลระดับ “บ้านใหญ่อีสานใต้” เข้าร่วมประชุมในการเสนอแผนดังกล่าวด้วย
ดังนั้นการที่ “พยานรายนี้” กลับคำให้การในชั้นการสอบสวนของ “ดีเอสไอ” อาจส่งผลให้สุดท้ายการสอบสวน “คดีฟอกเงิน” จากการฮั้ว สว.ต้องถูกตีตก หรือยกเลิกการสอบสวนไปก็ตาม จะส่งผลเสียร้ายแรงไปถึงคดีความในชั้นการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” อดีตรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กับ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีต รมว.ยุติธรรม ถูกกล่าวหาว่า “แทรกแซง-กลั่นแกล้ง” ในการสอบฮั้ว สว.
ปัจจุบันคดีกล่าวหา “ภูมิธรรม-ทวี” ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการนัดไต่สวนพยานบุคคลแล้ว พร้อมดำเนินการกำหนดประเด็น และพยานบุคคลว่ามีใครบ้าง ที่จะถูกไต่สวน ดังนั้นการ “กลับคำให้การ” กรณีข้างต้น อาจถูกนำไปใช้ประกอบการในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีการยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมเข้าไปในระหว่างไต่สวนบุคคล
อย่างไรก็ดีแม้ถึงที่สุดแล้ว หากคดีนี้จะ “ล่ม” ในชั้นการสอบสวนของ “ดีเอสไอ” ซึ่งในหน้างานแล้วถือว่าเป็น “องค์กรทางการเมือง” ที่มี “นักเลือกตั้ง” ควบคุมอยู่ก็ตาม แต่ยังเหลือการไต่สวนจาก กกต.ในฐานะ “องค์กรอิสระ” เป็นความหวังสุดท้าย หากยังหวังจะปกปักษ์ระบอบประชาธิปไตยอยู่
โดยเฉพาะ “ขั้วแดง-ส้ม” ที่ประกาศตนเป็น “ปฏิปักษ์” กับ “ขั้วน้ำเงิน” ชัดแจ้ง ถ้าต้องการโค่นล้มเครือข่าย “รัฐน้ำเงินพันลึก” ลง จำเป็นอย่างยิ่งต้องจับตาการพิจารณาคดีฮั้ว สว.ที่อาจยังเหลืออยู่แค่แห่งเดียวในชั้น กกต.ให้ดี เพราหากปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนใน “ดีเอสไอ” คงหมดโอกาสที่จะเอาผิดกับ “มะเร็งร้าย” ในระบอบประชาธิปไตยได้
ภาพกลุ่มคนใส่เสื้อสีเดียวกัน พักโรงแรมเดียว นั่งรถมาคันเดียวกัน เพื่อมาลงคะแนนโหวตเลือก สว.ระดับชาติ คงเป็นภาพหลอกหลอนระบอบประชาธิปไตยไทย ไปอีกตราบนานเท่านาน







