โดรนกามิกาเซ่ อาวุธลับ ทอ. ตัวเปลี่ยนเกม โฉมการรบใหม่

"อนาคตการรบจะเป็นยุคของโดรน เรากําลังคิดเรื่อง AI เพิ่มขีดความสามารถ ตัดสินใจ พิสูจน์เป้าหมายเองได้ โจมตีแม่นยํา นี่คือ ความน่ากลัว"
KEY
POINTS
- กองทัพอากาศ เปิดตัว โดรนกามิกาเซ่ ยูเอวี ชื่อ "KB-5E" พร้อมโชว์ขีดความสามารถ
- นักเรียนนายเรืออากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช คือ คีย์แมนสําคัญ ของโดรนกามิกาเซ่ ยูเอวี
ควันหลงงานแสดงนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ หรือ ดีเฟนส์ แอนด์ ซีเคียวริตี้ (Defense & Security) 2025 ระหว่างวันที่ 10-13 พ.ย.2568 ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี และเสริมสร้างความมั่นคงของชาติให้เท่าทันความท้าทายในยุคดิจิทัล เชื่อมโยงความร่วมมือ ระหว่างไทยกับมิตรประเทศทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่สันติภาพ
โดยกระทรวงกลาโหม จัดขึ้นทุกสองปี สำหรับปีนี้ภายใต้แนวคิด “The Power of Partnership” หรือ “พลังแห่งความร่วมมือ” เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการพัฒนายุทธศาสตร์ร่วมระหว่างประเทศ
โดยมีผู้ผลิตยุทโธปกรณ์มากกว่า 617 บริษัท จาก 38 ประเทศ และ 25 พาวิลเลียนนานาชาติ จากประเทศชั้นนำ เช่น จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร
รวมทั้งหน่วยงานด้านวิจัย และพัฒนาของ 3 เหล่าทัพ ร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย โดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน และ ระบบแอนตี้โดรน ซึ่งมี บริษัทเอกชนจากหลายชาตินำเสนอสินค้ารุ่นใหม่มากขึ้น
โฟกัสบูธ "กองทัพอากาศ" มีไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดรนกามิกาเซ่ ยูเอวี
ชื่อ "KB-5E" โดยมี นาวาอากาศเอก ศาสตราจารย์ ดร. วันชัย เจียจันทร์ อาจารย์กองการศึกษา โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช และช่วยราชการ รองผู้บังคับกองการฝึกศูนย์การฝึกอากาศยานไร้คนขับ กองทัพอากาศ ในฐานะผู้วิจัย
นาวาอากาศเอก วันชัย กล่าวถึง คุณลักษณะ และขีดความสามารถพิเศษของ โดรนกามิกาเซ่ ยูเอวี ประกอบด้วย ตัว K คือ
Kamikaze ตัว B คือ Bomber เลข 5 คือ หัวรบ ที่บรรจุได้ 5 กิโลกรัม และ E คือ Electric engine รวมกันเป็นชื่อ "KB-5E"
โดยมีขีดความสามารถ บินได้ไกลสูงสุด 150 กิโลเมตร บรรทุกหัวรบ 5 กิโลกรัม นําวิถีด้วย GPS/INS การโจมตีเป้าหมายมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยอยู่ประมาณ 3-5 เมตร หรือ CEP < 5 เมตร
สำหรับการบินเดินทางปฏิบัติภารกิจ โดรนกามิกาเซ่ KB-5E จะมีระบบควบคุมอัตโนมัติอยู่ภายในลำ ซึ่งจะมีโปรแกรมการวางแผนล่วงหน้า (Pre-flight planning) โดยการปฏิบัติภารกิจของโดรนกามิกาเซ่ ประเภทนี้จะทำงานในลักษณะที่ เรียกว่า Fly and forget หมายถึง ปล่อยแล้วลืม ซึ่งหากเป็นลักษณะการทำงานแบบนี้ ศัพท์ทางประเทศรัสเซียจะเรียกว่า OWA (one way attack) หมายความว่า ไม่ต้องกลับมาแล้ว ไปขาเดียวลงเลย นี่คือ ขีดความสามารถหลัก
ส่วนหน้าตาของตัวเครื่องเป็นปีกสามเหลี่ยม หรือ Delta wing (คล้ายกับค้างคาว) มีสมรรถนะค่อนข้างสูง พรางตัวได้ดี บินด้วยความเร็วประมาณ 130 - 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีความเร็วในช่วงการบินโจมตีได้สูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยหัวรบขนาด 5 กิโลกรัม สามารถทำลายเป้าหมายได้ทันทีในระยะรัศมี 30 เมตร ถึงแม้ว่าการทำลายเป้าหมายอาจไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การสร้างความเสียหายเพื่อลิดรอนขีดความสามารถของระบบอาวุธหรือระบบป้องกันภัยฝ่ายตรงข้าม ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น สถานีเรดาร์ (Radar Site )
นาวาอากาศเอก วันชัย กล่าวต่อว่า มีหลายคนถามว่า แล้วคุ้มหรือไม่ ด้วยการปฏิบัติการโจมตีแบบพลีชีพ ซึ่งต้องทิ้งลำหรือสูญเสียลำ ในการปฏิบัติภารกิจเพียง 1 เที่ยว แต่หากพิจารณาเป้าหมายภารกิจการใช้กำลังทางอากาศ คือ การโจมตีแนวลึก (Deep strike) เน้นเป้าหมาย High-Value Target (HVT) คือ เป้าหมายที่มีมูลค่าสูง เช่น จุดยุทธศาสตร์สำคัญ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่มีมูลค่า 100-1,000 ล้าน ก็หาได้มีประเด็นไม่
"เรานําของถูกไปโจมตีของแพง โดยจะโจมตีสิ่งที่เป็นขีดความสามารถหลักของระบบป้องกันภัยทางอากาศฝ่ายคู่ศัตรู ซึ่งภารกิจของกองทัพอากาศเราเรียกว่า SEAD (Suppression of Enemy Air Defenses) คือ กดดันระบบป้องกันภัยฝ่ายตรงข้ามของข้าศึก ซึ่งอาวุธเหล่านี้จะเข้าไปก่อน เพื่อทําหน้าที่ปิดหูปิดตาข้าศึก ด้วยหลักการนําของถูกไปแลกกับของแพง จากนั้นเครื่องบินรบถึงค่อยเข้าไป ก็จะทําให้เครื่องบินที่มีมนุษย์บินเกิดความปลอดภัย" นาวาอากาศเอกวันชัย กล่าวต่อว่า
สำหรับการปฏิบัติภารกิจ ไม่ได้บินเพียงลําเดียว แต่จะบินไปเป็นฝูง ถามว่าจะมีระบบประเภทไหน ที่ต้านการเคลื่อนที่ของโดรนพวกนี้ เพราะไม่ได้ไปเป็นกลุ่ม เพื่อไปที่เป้าหมายเดียว แต่อาจจะแยก ลวงทิศทาง ในละแวกเดียวกัน เพื่อทําให้ศัตรูโกลาหล เพราะไม่รู้ว่าจะมาทิศทางไหน ซึ่งบางลำจะมีหัวรบ บางลำจะไม่มี และราคาถูกลงไปอีก เป็นการหลอกผสมกัน ขึ้นอยู่กับ Tactic การใช้กำลัง
นาวาอากาศเอกวันชัย ย้ำ โดรนกามิกาเซ่ เราวิจัย และพัฒนาตั้งแต่กระบวนการทางวิศวกรรมต้นน้ำ คือ การออกแบบ สร้าง และบินทดสอบ เพื่อยืนยันการรับรองมาตรฐานสมควรเดินอากาศ (Airworthiness) ณ ปัจจุบัน กำลังเข้าสู่สายการผลิต โดยกองทัพอากาศจ้างผลิตตามแบบ ใช้งบประมาณโดยเฉลี่ยต่ำล้านต่อโดรน 1 ลำ และในอนาคตราคาผลิตจะต้องถูกลงอีกถ้าพิจารณาในแง่ mass production ทั้งนี้กองทัพอากาศไม่มีนโยบายในการผลิตเพื่อการส่งออก แต่เรามีหน้าที่วิจัยพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อพึ่งพาตัวเอง ส่วนการดำเนินการในรูปแบบอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ต้องเป็นเรื่องของนโยบาย ส่วนตนในฐานะนักวิจัย จะทําหน้าที่คิดค้นเรื่องวิจัยสร้างนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านขีดความสามารถกำลังทางอากาศ ตามยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ โดยพึ่งพาคนของเราเอง
"ในสถานการณ์ที่ผ่านมา เราได้บทเรียนว่า ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง การยืนด้วยขาตัวเอง คือ ความมั่นคงอย่างแท้จริง ของประเทศไทย มีคำพูดอยู่ว่า ความมั่นคงไม่สามารถซื้อด้วยเงินตรา แต่เป็นการสร้างขึ้นมาด้วยมือของเราเอง โดยเฉพาะเทคโนโลยีป้องกันประเทศ" นักวิจัยผู้นี้กล่าวและว่า
โดรนกามิกาเซ่ ยังมีขีดความสามารถเพิ่มเติม นอกเหนือจากการถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจโจมตี คือ สามารถดัดแปลงใช้ภารกิจอื่น เช่น การลาดตระเวน ด้วยการติดกล้อง และเป็นอากาศยานเป้าบิน สําหรับฝึกซ้อมใช้อาวุธ เช่น ระบบอาวุธต่อสู้อากาศยาน ปกติจะใช้งบประมาณสูง แต่ถ้าเรามีแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะเหมาะสมกับอัตลักษณ์ และคุณลักษณะของอาวุธประเภทนี้
นาวาอากาศเอก วันชัย เปิดเผยถึง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในความสำเร็จครั้งนี้ว่า นักเรียนนายเรืออากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช คือ คีย์แมนสําคัญ เพราะเป็นงานวิจัยของนักเรียน
สำหรับโรงเรียนนายเรืออากาศ มีวิชาวิศวกรรมหลายศาสตร์สาขา เรามาบูรณาการร่วมกัน ทั้งวิศวกรรมอากาศยาน วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมไฟฟ้า
ตนทำคนเดียวไม่ได้ ซึ่งตนไม่ได้เก่งทุกเรื่อง แต่ในทุกเรื่องมีคนเก่ง เราจึงรวมทีมกับน้องๆ หลายสาขาวิชามาช่วยกันคิดค้น เรามีศูนย์ และเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถสร้างนวัตกรรมเหล่านี้ได้ และจริงๆ แล้ว งานวิจัยนี้ก็ไม่ได้เพิ่งเกิด เกิดมาก่อนโควิดระบาด หรือก่อนสงครามในหลายๆ ที่เกิดขึ้นหลายมุมโลก เรามีการขอทุนสนับสนุนงานวิจัยของ กองทัพอากาศ ตั้งแต่ ปี 2563 ตอนนี้ก็ 5 ปีพอดี เรามีแรงบันดาลใจที่มีต้นแบบมาจากอิสราเอล เราคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิดตามเทรนด์ เนื่องจากนักวิจัยต้องมองเรื่องเทรนด์เทคโนโลยี ใหม่ๆ อะไรที่จะทําให้เราเปลี่ยนโฉม การรบใหม่ได้ นี่คือ ตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง
"อนาคตการรบจะเป็นยุคของโดรน ไม่ใช่เครื่องบินรบเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้เรากําลังคิดเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อนำมาเพิ่มขีดความสามารถในตัวโดรน ซึ่งระบบจะตัดสินใจเอง พิสูจน์เป้าหมายเอง โดยจะมีการโจมตีที่แม่นยํามาก ในขณะที่มีความอยู่รอดสูง เชื่อว่าอนาคตอันใกล้ ไม่เกิน 5 ปี และเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก ซึ่งจะอยู่ในเครื่องบินทุกลํา ให้ลองนึกภาพว่าจะมีความน่ากลัวขนาดไหน นี่คือสิ่งที่จะต่อยอดต่อไป"
ควบคู่ไปกับการฝึกฝนกำลังพลของเราด้วย เพราะเราก็มีศูนย์ฝึกยูเอวีของกองทัพอากาศ และน่าจะเป็นที่แรกที่ได้รับการรับรองสถาบันการฝึกยูเอวีทางทหาร กำลังพลใช้งานยูเอวี ต้องมี License เพราะเป็นสิ่งการันตีว่าผู้ปฏิบัติงานเรามีความรู้ มีขีดความสามารถ สอดคล้องตามมาตรฐานการบิน และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของความปลอดภัย
นาวาอากาศเอก วันชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า กองทัพอากาศมีหน้าที่เตรียม และใช้กำลัง คําว่า เตรียม
กําลัง ในทุกองคาพยพของกองทัพอากาศ ในหลากหลายมิติ
สำหรับฟังก์ชันที่ทำอยู่ ในแง่การเตรียมกําลังขีดความสามารถด้านกำลังทางอากาศ เรามีแผนในการก้าวเดินบนถนน 3 เส้น คือ การวิจัย และพัฒนาพึ่งพาตนเองมาเป็นอันดับแรก การร่วมมือบูรณาการของคนในประเทศ และสุดท้ายถึงจะเป็นจัดหาในขีดความสามารถที่เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเงินทุกบาทที่เป็นภาษีของประชาชน เราก็นำมาใช้ในเรื่องของการเตรียมกำลัง นวัตกรรมที่เห็นก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ในเรื่องของการวิจัย และพัฒนาเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ในเรื่องของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
เพราะเทคโนโลยีความมั่นคงบางสิ่งนี้ซื้อไม่ได้ ประชาชนต้อง มั่นใจ คนไทยไม่ใช่คนไม่เก่ง แต่เก่งมาก แต่คนไทยต้องสนับสนุนคนไทยเราเอง มันจะไปได้ไกล และไกลมากอย่างมีนัยสำคัญ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







