'ไอติม' สรุปใน 1 ภาพ พรรคไหน เสนอโมเดลอะไร กลไกในร่าง รธน.ใหม่

'ไอติม พริษฐ์' อธิบายละเอียด สรุปใน 1 ภาพ ตกลงพรรคไหน เสนอโมเดลใด เกี่ยวกับกลไกจัดทำ รธน.ใหม่ เผยไม่สามารถโน้มน้าวเสียงข้างมาก ให้ยึดตามฉบับพรรคส้มได้
KEY
POINTS
- พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอกลไกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2 ส่วน คือ คณะกรรมาธิการยกร่าง (ผู้ร่าง) และสภาที่ปรึกษา (ผู้รับฟังความเห็น) เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดภายใต้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
- ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของพรรคประชาชน ให้มีกลไกผู้ร่างรัฐธรรมนูญเพียงระดับเดียวคือ "คณะกรรมาธิการยกร่าง"
- อย่างไรก็ตาม กมธ. เสียงข้างมากมีมติให้ตัด "สภาที่ปรึกษา" ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงตามข้อเสนอของพรรคประชาชนออกไป เนื่องจากกังวลว่าอาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ช่วงดึกคืนวันที่ 12 พ.ย. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงถึงการลงมติใน กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่มี สสร. แต่ให้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญแทน ว่า วันนี้ คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการลงมติเรื่องเนื้อหาในร่างมาตรา 256/1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (โดยมีการพาดหัว-สื่อสารบางส่วน ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน)
"ผมต้องย้ำว่า กมธ. ในสัดส่วนของพรรคประชาชนทั้ง 8 คน ไม่นับ สส. ณัฐวุฒิ บัวประทุม ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน เราลงมติยืนยันตามข้อเสนอในร่างของพรรคประชาชนทุกประการ แต่เหตุผลที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามร่างของพรรคประชาชน เพราะมีบางประเด็นที่เราแพ้คะแนนเสียงของ กมธ. จากสัดส่วนของพรรคอื่นและสมาชิกวุฒิสภา" นายพริษฐ์ ระบุ
'ไอติม พริษฐ์' ระบุอีกว่า โมเดลพรรคประชาชน เป็นความพยายามในการทำให้การจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เป็นหลักการที่เรายึดถือมาโดยตลอด และที่หลายพรรคเห็นชอบด้วย แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งห้ามไม่ให้ “ประชาชนเลือกผู้ร่างได้โดยตรง” ทุกพรรคจึงไม่สามารถเสนอ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้อีกต่อไป + ข้อเสนอในวันนี้ก็ไม่มีพรรคใดหรือ กมธ. ส่วนไหน ที่เสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน เป็นความพยายามในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ได้มากที่สุดโดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลไก
(1) กลไก “ผู้ร่าง” = คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ และมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
(2) กลไก “ผู้รับฟังความเห็น” = สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมมนูญ 100 คน ที่มีหน้าที่รับฟังความเห็น และมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
หลังจากอภิปรายกันมาอย่างกว้างขวางตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ จึงมีการลงมติใน 2 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในมาตรา 256/1
ลงมติ 1 เรื่อง กลไกผู้ร่าง ในมาตรา 256/1 (1) ผลลัพธ์: กมธ. มีมติ 21-9 เห็นด้วยกับ กมธ. พรรคประชาชน ให้คงไว้ซึ่ง “คณะกรรมาธิการยกร่าง” ตามร่างของพรรคประชาชน ในเมื่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ (แต่ท้ายที่สุดจะต้องมาจากการคัดเลือกหรือรับรองของรัฐสภา) เราจึงยืนยันตามร่างของพรรคประชาชน ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ควรมีแค่ 1 ระดับ (คณะกรรมาธิการยกร่าง) มากกว่าการเพิ่มเป็น 2 ระดับ (สภาร่างรัฐธรรมมนูญ (ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง) + คณะกรรมาธิการยกร่าง) ตามข้อเสนอของ กมธ. พรรคเพื่อไทย
เพราะในมุมมองของเรา
1. การเพิ่มสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เข้ามาอีกระดับ จะทำให้ประชาชนมีระยะห่างจากผู้ร่างหรือ กมธ.ยกร่าง มากขึ้นกว่าเดิมหากเป็น 1 ระดับ (ตามร่าง ปชน.) : ประชาชน เลือก สส. → รัฐสภา (สส. + สว.) เลือก กมธ.ยกร่าง หากเป็น 2 ระดับ (ตามข้อเสนอ พท.) : ประชาชน เลือก สส. → รัฐสภา (สส. + สว.) เลือก สสร. → สสร. เลือก กมธ. ยกร่าง
2. การเพิ่มสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เข้ามาอีกระดับ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้ร่างหรือ กมธ.ยกร่าง จะถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือ สีใดสีหนึ่ง แม้รัฐสภาอาจเลือก สสร. เข้าไปให้จากหลากหลายฝ่ายหรือหลากหลายสี แต่หากสีใดสีหนึ่งมีเสียงข้างมากใน สสร. พวกเขาอาจใช้เสียงข้างมากของ สสร. ทำให้ กมธ. ยกร่าง เป็นสีเดียวกันหมดทุกคน 100% ตัวอย่างปัญหาที่เห็นชัดสุดคือกรณี คือ สว. ชุดปัจจุบัน - แม้ สว. ปัจจุบันมีหลากหลายสี แต่เสียงข้างมากของ สว. (ที่ถูกมองว่าเป็นสีเดียวกัน) ก็มักตั้ง กมธ. สอบประวัติองค์กรอิสระ จากกลุ่มตนเองหรือสีตนเองแบบเบ็ดเสร็จ 100%
ด้วยเหตุนี้ กมธ. พรรคประชาชน จึงมองว่าการเพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน เข้ามาอีกระดับ อาจเพิ่มความเสี่ยงบางประการที่มากกว่าประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เราจึงยืนยันให้คงตามร่างของพรรคประชาชน ที่เสนอกลไกผู้ร่างให้มี 1 ระดับ
ท้ายสุด กมธ. เสียงข้างมาก จึงมีมติ 21-9 เห็นด้วยกับ กมธ. พรรคประชาชน (แต่ในบรรดาเสียงข้างมาก 21 เสียง ยังมีความเห็นต่างกันพอควรว่า กมธ. ยกร่าง จะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องไปถกกันในอีกมาตราคือ มาตรา 256/2)
ลงมติ #2 เรื่อง กลไกผู้รับฟังความเห็น - กมธ. มีมติ 23-8 ให้ตัดสภาที่ปรึกษาตามร่างของพรรคประชาชน ผลลัพธ์: กมธ. มีมติ 23-8 เห็นต่างกับ กมธ. พรรคประชาชน โดยให้ตัดสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงตามร่างของพรรคประชาชน ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงไม่ได้ พรรคประชาชนจึงได้ออกแบบกลไกสภาที่ปรึกษา เพื่อหวังให้เรายังคงมีกลไกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้เราพยายามจะอธิบายว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากสภาที่ปรึกษาไม่ได้มีอำนาจลงมติใด ๆ เรื่องเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงไม่เข้าข่ายคำว่า “ผู้ร่าง” ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ กมธ. บางส่วนยังมีความเห็นต่าง
ท้ายสุด กมธ. พรรคประชาชน จึงแพ้ไป โดย กมธ. เสียงข้างมาก จากพรรคอื่นและ สว. ลงมติ 23-8 ให้ตัดสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงออก (เมื่อไม่มีสภาที่ปรึกษาแล้ว จึงมีการเสนอให้มี กมธ. รับฟังความเห็น-ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มเข้ามา เพื่อให้มีกลไกอื่นมารับผิดชอบบทบาทที่เคยถูกเสนอให้เป็นของสภาที่ปรึกษา)
"ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ว่าแม้ กมธ. พรรคประชาชน เรา 8 คน พยายามลงมติยืนยันกลไกทั้งหมดตามร่างของพรรคประชาชน แต่เรายังไม่สามารถโน้มน้าว กมธ. จากพรรคอื่นและวุฒิสภา ให้คล้อยตามจนเป็นฉันทามติร่วมกันได้" นายพริษฐ์ ระบุ







