จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม

จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม

บทว่าด้วย องค์กรทำรัฐธรรมนูญ คือสิ่งที่ "กมธ.แก้รธน." ต้องรีบสรุปจบ เพื่อให้ทำงานทันไทม์ไลน์ ทว่ามีสัญญาณแปลก ที่ สีน้ำเงิน หนุน ส้ม ทั้งที่เสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาล

KEY

POINTS

  • กมธ.แก้รัฐธรรมนูญมีความเห็นต่างในประเด็นองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระหว่างการมีแค่ "กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ" หรือมีทั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)" และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
  • ฝั่ง กมธ.ของพรรคประชาชน จับมือกับ สว. สีน้ำเงิน และพรรคภูมิใจไทย กลายเป็นเสียงข้างมาก สนับสนุนแนวทางให้มีเพียงแค่ "กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ"
  • เพราะเห็นด้วยกับการ มอบอำนาจให้ "รัฐสภา" เป็นเวทีรับฟังความเห็นของประชาชน แทน สภาที่ปรึกษาฯ
  • ส่วนฝั่ง "กมธ.เพื่อไทยและแนวร่วม" ฐานะเสียงข้างน้อย มองว่าเสี่ยงเกินไปที่ฝ่ายการเมืองจะครอบงำ-คุมเกมแก้รัฐธรรมนูญในอนาคต
  • แม้เสียงข้างมากจะกำหนดทิศทางได้ แต่กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญโดยรวมยังถูกมองว่ามีความเสี่ยงที่จะล่ม จากผลประโยชน์ทางการเมืองที่คุยกันไม่ลงตัว

กรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา นัดลงมติวันนี้(12พ.ย.) ต่อประเด็นสำคัญ ในมาตรา 256/1 ว่าด้วย “องค์กรที่มีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”

หลังจากที่การประชุม เมื่อ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา เคาะประเด็นพิจารณาและแนวทางเพื่อให้โหวตไว้แล้ว แต่มีบางฝ่าย ใช้แทกติก “ล่มประชุม” เพื่อชะลอการลงมติตัดสิน ที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนงาน ให้เป็นไปตามไทม์ไลน์

กับประเด็นพิจารณาที่เคาะไว้ เพื่อรอพิจารณาวันนี้ ตามเอกสารสรุปผลประชุมกมธ. ครั้งที่ 7 เมื่อ 7 พ.ย. 2568 ได้แก่

1.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรกำหนดให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่ ซึ่งเป็นกลไกที่ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” จากพรรคประชาชน เสนอ

2.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรกำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่ เป็นกลไกที่ “ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ” จากพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอ

จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม

3.ควรกำหนดให้สสร. ประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 100 คน ซึ่งรัฐสภาเลือก หรือไม่ เสนอโดย “ชูศักดิ์ ศิรินิล” จากพรรคเพื่อไทย

4.ควรกำหนดให้มี สสร. 100 คนประกอบด้วย สมาชิกซึ่งรัฐสภาเลือก จากผู้สมัครรับเลือกจังหวัดละ 1 คน และ สมาชิกซึ่งรัฐสภาเลือกจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ซึ่งสมัครรับเลือกจำนวน 23 คนหรือไม่ เสนอโดย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” สส.เพื่อไทย

และ 5.ควรกำหนดให้มี สสร. ซึ่งมีสมาชิก 151 คน ประกอบด้วย สมาชิกรัฐสภาเลือกจากผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น สสร. จำนวน 100 คน โดยต้องมีสมาชิกแต่ละจังหวัดๆละไม่น้อยกว่า 1 คน และสมาชิกซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งจากบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถและมีความเหมาะสมที่เป็นตัวแทนหรือมาจากการเสนอชื่อของสส. สว. คณะรัฐมนตรี (ครม.) องค์กร สมาคม หรือ กลุ่มบุคคลต่างๆ จำนวน 51 คน หรือไม่ เสนอโดย “ขัตติยา สวัสดิผล” จากพรรคเพื่อไทย

ทว่า หากสรุปย่อในสาระแล้ว สิ่งที่ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ของรัฐสภา ต้องใช้มติชี้ขาดให้เป็นข้อสรุปในส่วนของ “องค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่ชัดเจน มีแค่ 2 ประเด็น คือ 1.มี “กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ” เพียงองค์กรเดียว หรือ 2.มีทั้ง สสร. และ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ

กับทั้ง 2 แนวทางนั้น มีสัดส่วนการสนับสนุนที่พอแบ่งได้ว่า “กมธ.เสียงข้างมาก” (หาก กมธ.มาประชุมครบถ้วน 43 คน) อย่างน้อย 25 เสียง มาจาก “สว. 11 เสียง -พรรคประชาชน 8 เสียง (ไม่นับรวม ณัฐวุฒิ บัวประทุม ฐานประธานกมธ.)-พรรคภูมิใจไทย 4 เสียง - กมธ.โควต้า พรรคกล้าธรรม 2 เสียง” สนับสนุนแนวทางที่ให้มี “กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ” เพียงองค์กรเดียว

จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม ส่วนอีก 17 เสียง จาก “พรรคเพื่อไทย 9 เสียง-พรรครวมไทยสร้างชาติ 2 เสียง - พรรคประชาธิปัตย์ 2 เสียง พรรคพรรคประชาชาติ 1 เสียง-พรรคชาติไทยพัฒนา 1 เสียง - พรรคพลังประชารัฐ 1 เสียง และ สว. 1 เสียง" สนับสนุน ให้มี “สสร. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ”

เหตุที่ “กมธ.เสียงข้างมาก 25 เสียง” สนับสนุนให้มีเฉพาะ “กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ” เพียงองค์กรเดียวนั้น เป็นเพราะ “พรรคประชาชน” ยอมถอยในประเด็น “สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ" ที่เป็นองค์กรซึ่งเป็นเวทีเชื่อมการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกำหนดที่มาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากมีความชัดเจนที่จะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 18/2568

จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม

 และปรับให้เป็น “คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน” ที่รัฐสภาตั้ง ให้ทำงานคู่ขนานกับ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ในส่วนของการรวบรวมและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งมีองค์ประกอบมาจากสมาชิกรัฐสภา หรือ ผู้ทำงานภาคประชาสังคม หรือ ประชาชนทั่วไป

ต่อประเด็นนี้ ได้รับการเห็นดีด้วยจาก “สส.พรรคภูมิใจไทย และ สว.สีน้ำเงินและสีส้ม” ในแง่ที่เห็นว่า ประหยัดงบประมาณ และ บทบาทของ “รัฐสภา” ที่เป็นตัวแทนประชาชนและกลุ่มสาขาอาชีพ โดยสมบูรณ์ ถูกเติมเต็มอย่างเหมาะสม ทว่าในรายละเอียด ว่า “กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ” จะมีที่มาในรูปแบบใด หรือมีองค์ประกอบแบบใด ต้องหารือในรายละเอียดที่กำหนดในมาตราต่อไไป

โดย “พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์” สว.ตัวแทนสีน้ำเงิน ย้ำชัดในแนวคิดคือ

“ต้องไม่มีที่มาจากประชาชนเป็นผู้เลือก เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 แม้ต่อให้จะเสนอวิธีการให้ประชาชนเลือกเบื้องต้น และส่งให้รัฐสภาคัดเลือก ยังมองว่าเข้าข่ายที่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกอยู่ดี”

แม้ว่าก่อนหน้านี้ “พริษฐ์” จะให้สัมภาษณ์และเชื่อว่า แนวทางที่เสนอไว้ในร่างแก้ไขนั้น ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยความกังวลของฝ่ายอื่น จึงต้องใช้วิธีหาฉันทามติ และอธิบายความเพื่อให้คล้อยตาม แต่เมื่อความกังวลไม่คลาย จึงไม่ปฏิเสธต่อวิธีการลงมติเพื่อหยั่งเสียง หรือ อีกนัยคือ เพื่อชี้ทิศทาง

อย่างไรก็ดีในโมเดลนี้ ถูกโต้แย้งจาก “พรรคเพื่อไทยและแนวร่วม” เพราะมองว่า หากให้มีเฉพาะ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น ย่อมถูกแปลเจตนาไปในทางเดียวกับที่ “พวกหัวก้าวหน้า” เคยโจมตี “รัฐธรรมนูญ2560” เป็นฉบับของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ซึ่งถูกผูกขาดจากคนบางกลุ่มบางฝ่าย และกรณีให้ “หน้าที่ แก่รัฐสภา” เพื่อรับฟังความเห็นนั้น ย่อมปฏิเสธข้อครหาต่อ ความไม่เป็นกลาง ถูกอิทธิพลทางการเมืองครอบงำ หรือ ชี้นำทิศทางของการจัดทำกติกาสำคัญไปไม่ได้

ซึ่งในยุคหนึ่ง ถูกตีความว่า กรณีที่ “นักการเมือง” เข้ามามีผลประโยชน์ทับซ้อนในการร่างกติกา ย่อมเป็นอันตรายของการเมือง และระบอบปกครองประชาธิปไตยของไทยได้

จับสัญญาณ "ล่ม" แก้รัฐธรรมนูญ “ส้ม-น้ำเงิน” จับมือคุมเกม

ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตา ต่อให้วันนี้ มติข้างมากของ “กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ” จะชี้ทิศทางของ ผู้กุมอำนาจเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แบบประชุม ไม่ล่ม ขั้นต่อไป ก็ยังไม่ง่าย ที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เป็นไปอย่างราบรื่นได้

เพราะยังมีประเด็นปลีกย่อยหลังจากนี้ ซึ่งมีรายละเอียดที่ถูกผูกโยงเข้ากับ “ผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายการเมือง” ซึ่งเชื่อว่าไม่มีฝ่ายใดยอมเป็นผู้เสียสละ

ทว่าในปลายทางของเรื่องนี้ มี “คอการเมือง” ประเมินปลายทางของเรื่องนี้ไว้ คือ ส่อถูกลากไปสู่ การล่มแก้รัฐธรรมนูญ ใน 3 จุดเสี่ยง คือ “ไม่เสร็จก่อนยุบสภา-โหวตไม่ผ่านในชั้น สว. -ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญ” 

ต้องจับตา!!