ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่น้ำท่วม ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา

ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่น้ำท่วม ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา

ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่ 'น้ำท่วม' หลังฝนถล่มหนัก ปริมาณสะสมสูงสุดรองจากปี 64 ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา ตามที่ได้รับผลกระทบ ฟื้นฟูชุมชน ชดเชยในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ

KEY

POINTS

  • พรรคประชาชน เสนอให้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมจากอัตราเหมาจ่าย เป็นการจ่ายรายเดือนตามระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบเพื่อความเป็นธรรม
  • เสนอแผนฟื้นฟูและวางแผนรับมือสำหรับชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำในระยะยาว เช่น จัดสรรงบประมาณสำหรับยกระดับบ้านและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค
  • เสนอให้ทบทวนมาตรการนำน้ำเข้าทุ่งรับน้ำเพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ชุมชน พร้อมชดเชยค่าเสียโอกาสให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ "น้ำท่วม 2568 ถึงเวลารัฐต้องลงมือแก้ปัญหาจริงจัง!" โดยระบุว่า  ภาพรวมสถานการณ์ฝนและน้ำในปี 2568 เป็นปีที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 15% ในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของภาคเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ปริมาณน้ำฝนสะสมของปี 2568 สูงสุดรองจากปี 2564

ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในภาคเหนือมีปริมาณน้ำสะสมถึง 98% ในปัจจุบัน บางเขื่อนเช่น เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีน้ำเกินความจุอ่าง ส่วนเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำกักเก็บถึง 99% ของความจุอ่าง (ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568)

ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2568 ยังเป็นปีที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง แม้จะเข้าช่วงเวลาที่เป็นฤดูหนาวแล้วก็ตาม (ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2568 ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา) แต่ประเทศไทยก็ยังมีฝนต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมี พายุคัลแมกี ส่งอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทยในช่วงวันที่ 6-8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูงจนทำให้เกิดการน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางในวงกว้าง

สำหรับแนวทางการระบายน้ำของหน่วยงานรัฐ ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้หน่วยงานรัฐมีการปล่อยน้ำระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาถึงระดับ 2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2568 ทำให้พื้นที่ชุมชนริมน้ำซึ่งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำเริ่มประสบกับภาวะน้ำท่วมสูง และเพิ่มการระบายสูงสุดที่ระดับ 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ในช่วงกลางและปลายเดือนตุลาคม 2568 

ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่น้ำท่วม ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา

จากนั้นก็พยายามลดระดับการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงจนถึงระดับ 2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน  แต่เมื่อมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในช่วงตอนบนของประเทศ หน่วยงานของรัฐก็จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำในเขื่อนภูมิพล และส่งผลต่อการเพิ่มระบายน้ำท้ายเขื่องเจ้าพระยา จนมาแตะ 2,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ทำให้มีพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบซึ่งอยู่ในแนวแม่น้ำและนอกแนวคันกั้นน้ำมากขึ้น ตามแผนภาพของ GISTDA 

แม้ว่าอิทธิพลของระดับน้ำทะเลหนุนสูงจะเริ่มลดลงบ้างแล้ว (หลังวันที่ 10 พฤศจิกายน) แต่ปริมาณน้ำท่วมที่สะสมมานานบวกกับปริมาณน้ำที่ระบายเพิ่มมามากขึ้นทำให้ระดับน้ำท่วมสูงขึ้น และท่วมแผ่วงกว้างขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่คันกันน้ำ ซึ่งรับแรงกดดันของน้ำต่อเนื่องมาหลายเดือน ชำรุดเสียหาย น้ำก็ไหลเข้าไปในพื้นที่ในแนวคันกั้นน้ำ เช่นในพื้นที่อ่างทอง

นอกจากการระบายท้ายน้ำแล้ว หน่วยงานของรัฐยังต้องระบายน้ำออกทางคลองฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จนเกินกว่าศักยภาพของความจุลำน้ำ เช่น ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (หรือลุ่มน้ำท่าจีน) ศักยภาพความจุ 255 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่ ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน รับน้ำอยู่ 339 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จนทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน มีน้ำท่วมสูง และท่วมเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับทางฝั่งตะวันออกที่รับน้ำอยู่ 261 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จากศักยภาพความจุที่ 185 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่น้ำท่วม ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา

นอกเหนือจากสถานการณ์น้ำฝน และน้ำเหนือ (รวมถึงน้ำทะเลในช่วงเวลาก่อนหน้านี้) แนวทางการระบายน้ำของหน่วยงานรัฐยังได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเปลี่ยนจากการนำน้ำเข้าทุ่งทั้ง 10 ตอนล่างตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน ของแต่ละปี มาเป็นการเลือกให้น้ำเข้าทุ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายจนกระทั่งปัจจุบัน ปริมาณน้ำในทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง 10 ทุ่ง ยังมีปริมาณน้ำคิดเป็นร้อยละ 78 ของศักยภาพความจุ 

ในขณะที่พื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาและท่าจีน ต้องรองรับน้ำท่วมสูงมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 4 เดือน จนทำให้เป็นแรงกดดันให้รัฐบาลเปิดน้ำเข้าทุ่งเพิ่มเติม เพื่อลดระดับน้ำที่ท่วมในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำลงมาบ้าง

ส่วนการดูแลผู้ประสบภัย สถานการณ์หนึ่งที่เห็นได้ชัดจากภาวะน้ำท่วมปี 2568 คือ แม้ว่าในแง่ของการเตือนภัย รัฐบาลพยายามพัฒนาระบบเตือนภัยได้ดีขึ้น แต่การเผชิญเหตุสำหรับผู้ที่ต้องประสบภัยกลับแทบไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเลย ภาพของประชาชนที่ต้องมาตั้งเต้นท์ ตั้งบ้านเรือนกันริมถนนยังเป็นภาพที่เห็นได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง ตั้งแต่ชัยนาทถึงอยุธยาและทั้งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน

สิ่งที่รัฐบาลควรปรับปรุงคือ การกำหนดมาตรฐานการดูแลผู้ประสบภัยที่เพียงพอ เช่น การจัดศูนย์พักพิงที่เหมาะสม การจัดเตรียมห้องน้ำ/สุขา การจัดเตรียมอุปกรณ์จำเป็นเช่น เรือ และชูชีพ และการมีหน่วยงานเข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยทั้งของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยสนับสนุนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการในแต่ละพื้นที่ 

ขณะที่การเยียวยา 3 จุดที่ต้องปรับแก้ 

(1) การเยียวยาตามระยะเวลาการได้รับผลกระทบ

แม้ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169.986 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568

โดยมีอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นรูปแบบเหมาจ่ายอัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน หรือไม่เกิน 7 วันแต่บ้านเรือนเสียหาย แต่การกำหนดเกณฑ์ที่เป็นอัตราเดียว โดยมิได้คำนึงถึงระยะเวลาความเสียหายที่แตกต่างกัน ระหว่าง 7-8 วัน กับ 3-4 เดือน ทำให้พี่น้องประชาชนที่ต้องถูกน้ำท่วมในระดับที่สูงขึ้นและยาวนานขึ้นตามแนวทางการจัดการน้ำดังกล่าวรู้สึกไม่พอใจและไม่เป็นธรรม

ดังนั้น จุดแรกที่ควรปรับแก้คือ #การกำหนดเกณฑ์การชดเชยเยียวยาสำหรับพื้นที่ที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน เช่น 9,000 บาทต่อเดือน แทนอัตราเดียว 9,000 บาท ไม่ว่าจะท่วมนานแค่ไหนก็ตาม

(2) การฟื้นฟูชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำในระยะยาว

ส่วนการเยียวยาประเด็นที่สองที่ควรปรับแก้คือ การฟื้นฟู และวางแผนรับมือสำหรับชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำทั้งในระยะสั้น เช่น การจัดเตรียมศูนย์พักพิงและอุปกรณ์จำเป็นในการดำรงชีพสำหรับชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ

ในระยะยาว เช่น การจัดสรรงบประมาณสำหรับการยกระดับบ้าน (หรือดีดบ้าน) ให้พ้นจากระดับน้ำท่วมสูงสุด การจัดระบบสาธารณูปโภคใหม่ให้รองรับภาวะน้ำท่วมสูงและยาวนาน 

หรือในบางพื้นที่ต้องการเสริมแนวคันกั้นน้ำริมตลิ่ง ซึ่งแต่ละพื้นที่รัฐบาลจะต้องหารือกับประชาชนในพื้นที่ชุมชนเหล่านั้น และจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอ และต่อเนื่องจนกว่าจะดำเนินการสำเร็จด้วย

(3) การชดเชยในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ควรทบทวนนำมาตรการนำน้ำเข้าทุ่ง ซึ่งมีความเสียหายน้อยกว่าน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ กลับมาใช้ในกรอบเวลาที่เหมาะสม (หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวนาปี) เพื่อลดผลกระทบกับชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำลงมาบ้าง

แต่การนำน้ำเข้าทุ่งก็ควรมีการชดเชยค่าเสียโอกาสในการทำการเกษตรให้กับผู้ที่มีที่ดินในพื้นที่ทุ่งรับน้ำด้วย มิฉะนั้น จะเกิดข้อพิพาททางกฎหมายอย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้น จนเป็นผลให้หน่วยงานรัฐหันมาเลือกใช้มาตรการนำน้ำเข้าทุงรับน้ำเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยอัตราการชดเชยอาจมีลักษณะตามพื้นที่และตามระยะเวลา เช่น 1,000 บาท/ไร่/เดือน ที่ถูกน้ำท่วมเป็นต้น

ปชน.รวมความเห็น สส.ลงพื้นที่น้ำท่วม ชงรัฐบาลแก้ 3 ข้อเยียวยา

ด้านความเห็น สส. พรรคประชาชน ขณะลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม เช่น นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา ระบุว่า ในคืนนี้วันที่ 10 พฤศจิกายน มีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นจากเขื่อนเจ้าพระยา จาก 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มถึง 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สถานการณ์ในปัจจุบัน พบว่า บ้านหลายหลังในอำเภอเสนา ผักไห่ บางบาล มีระดับน้ำเข้าท่วมพื้นบ้านเพิ่มมากขึ้น (พื้นบ้านยกสูงหรือชั้น2) ข้าวของรวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ตู้เย็น ที่มีการยกขึ้นที่สูงเพื่อหนีน้ำ #อาจจะไม่มีที่เพียงพอที่จะให้หนีน้ำอีกแล้ว รวมไปถึงเตียงของผู้ป่วยติดเตียงและผู้พิการ ที่เดินทางออกมาได้ยาก ก็อาจจะไม่มีที่อยู่เพียงพอแล้ว

ตอนนี้จำเป็นต้องขอให้ท้องถิ่นอย่าง อบจ. และ ปภ. จังหวัด อยุธยา เตรียมพื้นที่อพยพให้พร้อม โดยพื้นที่อพยพต้องประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช่น ห้องน้ำสะอาด โรงครัว เตียงนอน มุ้ง และยากันยุง เป็นต้น รวมถึงแนวทางการบริหารน้ำในเวลานี้ จำเป็นต้องใช้ทุ่งนาและพื้นที่ทุ่งรับน้ำ ทั้งหมดที่มีในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อระบายน้ำเข้าไปกักเก็บไว้ เพื่อไม่ให้อยุธยา อ่างทอง วิกฤติไปมากกว่านี้

ส่วนนายคริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก ระบุถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดตากครั้งนี้เหนือความคาดหมายเพราะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ครั้งนี้การจัดการน้ำในส่วนของแม่วังดีขึ้นมาก มีการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนใหญ่ตั้งแต่ต้นฤดูจนสามารถผ่านวิกฤติมาได้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอกับน้ำป่าและน้ำฝนที่ตกลงอย่างหนัก ประกอบกับน้ำในเขื่อนภูมิพลที่มีปริมาณมากจนวันนี้เต็มปริมณความจุ ทำให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ  น้ำป่าที่ไหลมามากในประวัติการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบที่ตำบลทุ่งกระเชาะที่ได้รับน้ำป่าจากห้วยแม่ไข ตำบลแม่สลิดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำป่าที่ไหลมาจากเด่นไม้ซุง 

โดยน้ำส่วนนี้จะไหลแยกเป็นสองทางทั้งทางแม่สลิดและทางโป่งแดงผ่านคลองแม่ระกาทำให้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ไปจนถึงตำบลน้ำรึม ตำบลวังประจบ ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนภูมิพลที่เร่งการระบายน้ำทำให้พื้นที่ใต้เขื่อนได้รับผลกระทบอย่างหนักประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำได้รับผลกระทบตลอดสายของแม่น้ำปิง

ขณะที่นายกิตติภณ ปานพรหมมาศ สส.นครปฐม ให้ความเห็นหลังลงพื้นที่น้ำท่วมเพื่อเยี่ยมเยือนผู้ประสบภัยในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม พบว่า แทบจะทุกตำบลของนครปฐมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำบลที่ติดริมแม่น้ำท่าจีนที่เป็นพื้นที่เปราะบาง ที่มีน้ำท่วมมาไม่ต่ำกว่า 3 -4 เดือนแล้ว และท่วมเพิ่มอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ท้องถิ่นต้องนำงบพัฒนามาจัดป้องกันและเยียวยาน้ำท่วมตลอดหลายปี ส่งผลให้ท้องถิ่นไม่อาจเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

นายเจษฎา ดนตรีเสนาะ สส.ปทุมธานี เล่าถึงสถานการณ์ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ พบว่า ระดับน้ำที่ปทุมธานีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงสุดเมื่อวานอยุ่ที่ที่ 2.8 ม.รทก. (เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง) ทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก 

บางจุดใน อำเภอสามโคกระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร ทำให้ได้รับความเดือดร้อนลำบากมาก เพราะต้องใช้เรือบ้าง ต้องเดินลุยน้ำบ้าง เดินสะพานไม้ซึ่งก็พบว่า บางแห่งก็แข็งแรงดี บางแห่งก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าที่ควร ทำให้คนสูงวัยไม่สามารถเดินได้ เด็กๆ ก็เดินตกสะพานได้ 

บางแห่งที่บางที่น้ำท่วมสะพาน ทาง อปท. (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ก็ไม่มาต่อสะพานให้ คนเดินมองไม่เห็นพื้นทำให้เกิดอุบัติเหตุ เดินตกสะพานบ้างก็มี เหล่านี้คือความยากลำบากของชีวิตประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม จึงได้ร่วมกรอกทรายใส่กระสอบเพื่อทำเป็นคันกั้นน้ำ ติดเชือกเป็นแนวกันเด็กเล็กตกน้ำ และร่วมมอบน้ำดื่มสะอาดให้พี่น้องประชาชน

อยากขอเรียกร้องดังนี้ 

1. ขอให้ สทนช. ตั้งโต๊ะแถลงข้อมูลข่าวสารในช่วงวิกฤต เพราะในโซเชียลมีเดียว มีข่าวลือข่าวปลอมจำนวนมากที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชน

2. ขอให้หน่วยงานที่บริหารจัดการเรื่องน้ำบอกความจริงกับประชาชน เพราะหากสุดท้ายหน่วยงานบริหารล้มเหลว ประชาชนจะได้ช่วยเหลือตนเองได้ทัน ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

3. ขอให้ช่วยทบทวนค่าเยียวยาความเสียหายกรณีน้ำท่วมในพื้นที่ปทุมธานี อยุธยา นนทบุรี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เนื่องจากหากนับจากวันที่น้ำเริ่มท่วมจนถึงวันนี้ กินเวลามาแล้วไม่น้อยกว่า 70 วัน

ส่วนนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (อ่างทอง) พร้อมนายแพทย์ธโนดม โสขุมาในฐานะสมาชิกพรรค และทีมงานพรรคประชาชนจังหวัดอ่างทอง ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ให้กำลังใจและมอบน้ำดื่มให้แก่ผู้ประสบปัญหาน้ำท่วม ในพื้นที่จากปริมาณน้ำที่มากขึ้นทำให้เขื่อนป้องกันตลิ่งบางส่วนชำรุด มีน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนหลายสิบหลังคาเรือน ประชาชนส่วนใหญ่มิได้ทันตั้งตัว 

นอกจากนี้ยังได้ติดตามสถานการณ์น้ำหลากเข้าท่วมตลาดป่าโมก และคอสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนหมายเลข 33 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ที่ปริมาณน้ำมาก จนต้องปิดถนนยานพาหนะไม่สามารถสัญจรไปมาได้ อย่างไรก็ตามในวันนี้ (10 พ.ย.) ทางหน่วยงานได้แก้ไขสถานการณ์จนพอสัญจรได้ และหากเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำมากขึ้น จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมตลอดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ จ.อ่างทอง ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ สส.นนทบุรี และนางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ สส.นนทบุรี เล่าว่า วานนี้ (9 พ.ย.) ทั้ง สส. สุรพันธ์และทีมงานลงพื้นที่สำรวจปริมาณน้ำในหลายชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี ซึ่งปริมาณน้ําจากเขื่อนเจ้าพระยาที่ถูกระบายออกมาอยู่ที่ 2,800 ลบ.ม./ วินาที 

พบว่าบริเวณวัดกลางบางซื่อ, ชุมชนวัดแจ้งศิริสัมพันธ์, วัดน้อยนอก, ชุมชนวัดแคนอก และชุมชนหมู่ 3 ต.ท่าทราย พบว่าหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วมเข้าบ้านเรือน ขณะนี้ทางเทศบาลได้เร่งนำกระสอบทรายมาวางป้องกันน้ำอย่างเต็มที่ 

โดยวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) เขื่อนเจ้าพระยาจะมีการระบายน้ำเพิ่มอยู่ที่2,900 ลบ.ม./วินาที ปริมาณน้ำจะต้องท่วมสูงขึ้น กระทบต่อชุมชนริมแม่น้ํามากขึ้นกว่าเดิม และสถานการณ์ช่วงเย็นวันนี้ คาดว่าน่าจะมีฝนตกเพิ่ม ขอให้ประชาชนบริเวณริมแม่น้ำฝั่งอำเภอเมืองและ อำเภอปากเกร็ดเตรียมรับมือสถานการณ์ น้ําท่วมสูงเพิ่มเติม ทาง สส. และทีมงานจะติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เย็นวันนี้อย่างใกล้ชิด 

"ถึงเวลาแล้วหรือยัง…ที่จะต้องผลักดันการสร้างเขื่อนกั้นน้ำถาวร เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากให้ประชาชนขอฝากไปถึง #เทศบาลนครนนทบุรี ให้นำแผนดังกล่าวมาพิจารณา และเริ่มทำ “ประชาพิจารณ์ สำรวจความคิดเห็นชุมชนบริเวณริมแม่น้ำตลอดแนวยาว 12 กิโล ในเรื่องของการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม" นำร่องได้เลย และ สส. จะขอผลักดันวาระนี้ในทุกช่องทาง เป็นการแก้ปัญหาแบบถาวรเพื่อให้คนนนท์ไม่ต้องเผชิญน้ำท่วมทุกปีอีกต่อไป หมดเวลาแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากแบบเดิม เพราะความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องที่รอไม่ได้” พรรคประชาชน ระบุ