แฉอดีตนายกฯสีเทา สะเทือนศึกอภิปราย

การเมืองช่วงนี้ ระอุเดือดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเกมช่วงชิงความ “ได้เปรียบ-เสียเปรียบ” ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในอีกไม่นาน
ซึ่งล่าสุด อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันแล้ว จะ “ยุบสภา” ภายใน 4 เดือน ตามที่ตกลงกับพรรคประชาชนเอาไว้แน่นอน
ประเด็นสำคัญ ที่เป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ หนีไม่พ้นเรื่องโลกล้อมปราบสแกมเมอร์ และกดดันให้ไทยเป็นหัวหอก โดยมีข้อมูลอยู่แล้วว่า ขบวนการสแกมเมอร์ที่เติบโตในชายแดนประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยเฉพาะกัมพูชา มีผู้มีอำนาจทางการเมือง ส.ส.บางคน ตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางคนหรือไม่ ให้ความช่วยเหลืออยู่ด้วย
ถ้าจำกันได้ ผลสะเทือนแรกที่เกิดขึ้นในวงการการเมืองก็คือ การชิงลาออกของ “วรภัค ธันยาวงษ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา กรณีมีชื่อเป็นที่ปรึกษาบริษัทของบุคคลที่สหรัฐขึ้นบัญชีดำว่าอยู่ในขบวนการสแกมเมอร์
หลังจากวันที่ 18 กันยายน 2568 ส.ส.จากพรรครีพับลีกันเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ เพื่อตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงชาวอเมริกัน โดยท้ายร่างกฎหมายดังกล่าวได้มีการระบุรายชื่อบุคคล/องค์กร 43 รายชื่อ ที่ถูกระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรทั้ง 43 รายชื่อเหล่านี้
แต่ไม่จบเพียงแค่นั้น ยังมีการแฉอีกว่า มีนักการเมืองถึง 7 รายชื่อ เกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์และเงินเทาในกัมพูชา จนสร้างความฮือฮาไปทั้งวงการเมือง
ปมเปิดประเด็นว่ามี “อดีตนายกฯ” เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสแกมเมอร์หรือไม่ ในห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้คนคิดกันไปไกล ว่ามีใครเกี่ยวข้อง
อีกกระแสที่ร้อนระอุแทรกขึ้นมา ก็คือ การยื่นญัตติเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย จนก่อนหน้านี้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณจะชิง “ยุบสภา” หนี “ไม่ยอมให้ถูกด่าฟรี”
ถ้าฟังจาก ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเด็นสำคัญที่จะถูกนำมาอภิปราย ก็คือคดีการ ทุจริตฮั้ว ส.ว. คดีเขากระโดง การเมินเฉยต่อแก๊งสแกมเมอร์ ที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนหลายหมื่นล้านบาท การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงอย่างไม่เป็นธรรม การจัดซื้อจัดจ้างอีกหลายโครงการที่ประชาชนสนใจ
ล่าสุด (7 พ.ย.68) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีกลับลำ แถลงการณ์สู้กระแสอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยระบุว่า
1. ขอยืนยันในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มาจากข้อตกลงกับพรรคประชาชนว่าจะยุบสภาภายใน 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 มกราคม 2569
2. ขอเรียนย้ำว่า ข้อตกลงที่ทำกับพรรคประชาชนมีสาระสำคัญคือ 1.แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2.จัดให้มีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป ในครั้งถัดไป 3.ยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย 4.พรรคประชาชน เป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้คำแนะนำ การทำงานของรัฐบาล ซึ่งผมยอมรับการตรวจสอบของพรรคประชาชน และยินดีชี้แจง
3. ขอเรียนว่า รัฐบาลในห้วงเวลา 120 วัน มีภารกิจสำคัญ 3 ประการ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ จัดทำประชามติ และ ยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง เมื่อทำ 2 ภารกิจแรกสำเร็จแล้วก็จะยุบสภา จะไม่เกินเวลา 120 วัน ตามที่ตกลงกันกับพรรคประชาชน
4. เมื่อมาเป็นรัฐบาลแล้ว ในห้วงเวลา 120 วันก่อนจะไปสู่การยุบสภา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชน ของประเทศ 4 เรื่อง คือ 1.ปัญหาเศรษฐกิจ 2.ปัญหาความมั่นคง 3.ปัญหาภัยธรรมชาติ และ 4.ปัญหาภัยสังคม ยาเสพติด ฉ้อโกง หลอกลวงประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นมาก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาทำงานด้วยข้อจำกัดด้านเวลา รัฐบาลนี้ไม่สามารถวางแผนทำงานเกินกว่า 4 เดือนได้ ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้มาแก้ปัญหาที่สะสมต่อเนื่องกันมายาวนาน ปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา ปัญหาสแกมเมอร์มีมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้ รัฐบาลไม่ได้สร้างปัญหา แต่มาแก้ปัญหา เช่นเดียวกับการมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา จนเป็นที่มาของนโยบาย ลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน แก้หนี้รายย่อย สุขกาย สบายกระเป๋า
5. ผมรู้ตัวตลอดเวลาว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น หากมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลย่อมไม่มีทางที่จะมีเสียงสนับสนุนมากกว่า รัฐบาลก็ต้องคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่ถ้าเป็นการยื่นญัตติเปิดอภิปราย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน ผมพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น จัดเวทีประชุม หรือมาพูดคุยหารือกัน ในลักษณะแบบนี้ได้ทั้งนั้น
6. หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อมาเป็นรัฐบาลต้องพร้อมชี้แจง แม้ว่าจะมีในข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม พร้อมย้ำรัฐบาลพร้อมชี้แจง และไม่เคยคิดที่จะจับรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน แต่เราจะเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จเร็วที่สุด ตามกรอบเวลาที่กำหนด จากนั้นจะยุบสภา
7. ที่ผ่านมา ผมเชิญส.ส.รังสิมันต์ โรม หารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาสแกมเมอร์ แต่ยังไม่ได้พบกัน เพราะเวลาไม่ตรงกัน วันที่ 14 หน่วยงานมาแถลงข่าวร่วมกัน ก็เชิญท่านมาพูดคุยกันก่อน ด้วย แต่ท่านมีภารกิจ จึงไม่ได้มา แต่คิดว่าจะมีเวลาตรงกัน มาทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
8. ขอให้พรรคประชาชนที่สนับสนุนให้มีรัฐบาลนี้ และประชาชนที่กำลังรอการเลือกตั้งใหม่ เชื่อมั่นได้ว่า ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี จะปฏิบัติตามข้อตกลงกับพรรคประชาชนทุกประการ ตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไว้แล้ว
เป็นที่น่าสังเกต จากคำแถลงของ “อนุทิน” มีการระบุถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่หากถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อาจแพ้โหวตไม่ไว้วางใจ และอาจมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้อยู่ในข้อตกลง
นั่นหมายถึง การยุบสภาฯก็เป็นได้? เท่ากับว่า โอกาสที่จะทำให้เรื่องแก้รัฐธรรมนูญไปถึงเป้าหมาย ก็อาจไม่เป็นไปตามที่ตกลงกับพรรคประชาชนไว้นั่นเอง
ทั้งยังเท่ากับ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงพรรคประชาชนด้วยเช่นกันว่า หากมีการยุบสภาฯก่อนกำหนด จนทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ก็จะมาโทษรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ ซึ่งถ้าจะให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ พรรคประชาชนจะต้องโหวตให้รัฐบาลชนะญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่
นี่เอง ที่พรรคเพื่อไทย ดักคอรัฐบาลอนุทินก่อนหน้านี้ว่า อย่าเอา “การแก้รัฐธรรมนูญ” เป็นตัวประกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ประเด็นนักการเมือง ส.ส. พัวพัน “แก๊งสแกมเมอร์” ในกัมพูชา ที่พอไล่เรียงกันแล้ว ไม่ว่าฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปง ไม่แพ้กัน ตราบที่ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อออกมาอย่างชัดแจ้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่มีการอภิปรายเปิดโปงในสภาฯ อาจมีการตอบโต้กันไปมา จนทำให้สภาผู้แทนราษฎร ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ และเคลือบทาด้วยสีเทาอย่างไร้ศรัทธาจากประชนชนก็ได้
ทั้งหมด อาจเป็นประเด็น “วัดใจ” พรรคเพื่อไทย ว่า พร้อมที่จะเสี่ยงให้นักการเมืองสีเทาภายในพรรค ถูกลากเอามาประจานหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า ชื่อและบริบทที่มีการแฉ มันใกล้ตัวเข้ามาทุกที รวมทั้งพรรคประชาชน ที่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีช่องทางไปต่อก่อนยุบสภาฯ ก็ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หากมีการชิงยุบสภาฯ เพราะรัฐบาลแพ้ญัตติซักฟอก จะพร้อมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า “เกม” อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ง่าย และต้องคิดอีกหลายชั้น โดยเฉพาะถ้ามีการนำเอาเรื่องนักการเมืองสีเทาพัวพันแก๊งสแกมเมอร์ไปแฉในสภาผู้แทนฯ อะไรจะเกิดขึ้น
อย่าลืม มีเรื่องอดีตนายกฯที่ไม่ใช่ผู้ชายรวมอยู่ด้วย หรือแน่ใจแล้วว่า เรื่องที่แฉกันไม่ใช่เรื่องจริง?







