เช็กลิสต์ ‘6 พรรคเล็ก’ ลุยต่อลุ้น ‘อะไหล่การเมือง’ รัฐบาล

เช็กลิสต์ ‘6 พรรคเล็ก’ ลุยต่อลุ้น ‘อะไหล่การเมือง’ รัฐบาล

พรรคเสียงเดียว มีบางส่วนพ่ายกระแส สส. ถูกดูดไปรวมกับพรรคกล้าธรรม แต่อีกส่วน ยังปักหลัก สู้เลือกตั้งด้วยเดิมพันสุดท้าย เพื่อเป็นอะไหล่ให้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง 69

KEY

POINTS

  • พรรคการเมืองขนาดเล็ก 6 พรรค เริ่มเคลื่อนไหวเตรียมความพร้อมรับการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นก่อนกำหนด
  • แม้ 3 พรรค คือ เสรีรวมไทย เป็นธรรม ไทยก้าวหน้า สส. คนปัจจุบันจะไม่ได้ไปต่อกับพรรค แต่หัวหน้าพรรคยังคงประกาศเดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้ง
  • พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคเป็นธรรม พรรคชาติพัฒนา และพรรคไทรวมพลัง เร่งลงพื้นที่รักษาฐานเสียงเดิม และชิงความได้เปรียบจากพรรคใหญ่
  • พรรคเล็กทั้งหมดมีเป้าหมายร่วมกันในการเข้าร่วมรัฐบาลสมัยหน้า โดยหวังทำหน้าที่เป็น ‘อะไหล่การเมือง’ ในการจัดตั้งรัฐบาล

สัญญาณขัดแย้งของ “ฝ่ายการเมือง” เริ่มปรากฏให้เห็นเป็นเค้าลางที่ส่อว่า “ยุบสภา” จะเกิดขึ้นก่อนกำหนดข้อตกลงการเมือง 4 เดือน

ทำให้ ทุกพรรคการเมือง ต้องรีบแต่งตัว ให้พร้อมรับกับศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง อย่างน้อย คือ พาตัว ว่าที่ผู้สมัคร สส. ลงพื้นที่ ไปทำความคุ้นเคยกับประชาชน เพื่อชิงความได้เปรียบ

กับความเคลื่อนไหวของ “พรรคการเมือง” ไซส์เล็ก ที่ปัจจุบันมี สส.ในสภาฯ ทั้ง พรรคชาติพัฒนา พรรคไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ และพรรคไทยก้าวหน้า ล้วนขยับ และเตรียมออกสตาร์ตอย่างเป็นทางการเมื่อ ปี่กลองเลือกตั้งโหมโรง

ทว่า ในจำนวน 6 พรรคเล็ก มี 3 พรรคที่ “สส.” ปัจจุบัน ไม่ได้ไปต่อกับพรรคเดิม ได้แก่ พรรคเสรีรวมไทย ที่มี “มังกร ยนต์ตระกูล” ได้เป็น สส. หลัง “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส” ลาออก ปัจจุบันดำรงสถานะเป็น “งูเห่าฝ่ายค้าน“ พรรคเป็นธรรม มี  “สส.กัณวีร์ สืบแสง” เป็น สส. ที่แสดงตนสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งนายกฯ และ พรรคไทยก้าวหน้า ที่ “ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์” ขอเข้ามาพักชายคา หลังถูกขับพ้นจากพรรคประชาชน แต่ปัจจุบันหันไปเข้าพวกกับ “พรรคกล้าธรรม”

แม้ สส.ที่เป็นตัวชูโรง หอบผลงานในสภาฯ ไปขายฝันประชาชน จะไม่ได้ไปต่อกับพรรคเดิม แต่ “หัวหน้าพรรคทั้ง 3” ยังประกาศเดินหน้าสู้ 

ล่าสุด “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์” วางแผนกับทีมงาน เตรียมจัดประชุมใหญ่เพื่อประกาศความพร้อมในช่วงเดือนธ.ค.นี้ เพราะยังเชื่อว่า กระแสวีรบุรุษนาแก ผู้ไม่สยบยอมกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังขายได้ในยุคสมัยนี้

เช่นเดียวกันกับ “ปิติพงษ์ เต็มเจริญ” หัวหน้าพรรคเป็นธรรม นัดพร้อมประกาศยุทธศาสตร์ “โตกว่าเดิม” เพื่อหวังร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง แม้จะแยกทางกับ “สส.กัณวีร์” แต่ด้วยงานบริหารพรรคที่ประเมินทิศทางการเมืองแล้วยังไปต่อได้ เพราะแนวร่วมของ “กัณวีร์” นั้นไม่ได้ไหลตามไปด้วย 

เช็กลิสต์ ‘6 พรรคเล็ก’ ลุยต่อลุ้น ‘อะไหล่การเมือง’ รัฐบาล

อีกทั้งยังได้การสนับสนุนจากบุคลากรคุณภาพที่เคยทำงานระดับหลังบ้านให้กับ “พรรคกล้า” และ “พรรคพลังประชารัฐ” ประกอบกับการชูแบรนด์ “เป็นธรรม” ที่เป็นพรรคการเมือง ไม่คบไม่ค้ากับ “นักการเมืองสีเทา-ทุนเทา-พวกหาผลประโยชน์ ชอบต่อรอง” ทำให้ศึกเลือกตั้งรอบนี้มั่นใจว่า จะได้รับเลือกตั้ง และจากนโยบาย 5 เรื่องใหญ่ที่วางเป้านำไทยไปสู่สากล มั่นใจว่า จะได้ สส. มากกว่าเดิม

ปัจจุบัน “ปิติพงษ์” ขับเคลื่อนชุดทำงานในพื้นที่ ที่เชื่อมั่นว่า จะได้ สส. คือ ภาคละ 1 คน เพื่อให้ “พรรคเป็นธรรม” ถูกจัดเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลในสมัยหน้า เพราะสถานะของพรรคตอนนี้ไม่มีประเด็นขัดแย้งกับขั้วอำนาจฝ่ายใด เข้าได้กับการเมืองทุกระบบ

ขณะที่ พรรคประชาธิปไตยใหม่ ของ “สุรทิน พิจารณ์” เลือกจะสู้เลือกตั้งรอบนี้เป็นเดิมพันครั้งสุดท้าย ล่าสุดได้ส่งขุนพล ทำงานในพื้นที่แล้วกว่า 30 พื้นที่ โดยมีจุดเน้นอยู่ใน 3 พื้นที่ คือ กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู และสระแก้ว โดยเฉพาะพื้นที่ “เครือข่ายผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” (ผรท.) ที่เป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปไตยใหม่

เช็กลิสต์ ‘6 พรรคเล็ก’ ลุยต่อลุ้น ‘อะไหล่การเมือง’ รัฐบาล

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้น “สุรทิน” ส่งว่าที่ผู้สมัคร สส. เข้าหาประชาชนแล้ว ตั้งแต่ช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ที่ผ่านมา เพราะมองว่า การลงพื้นที่ก่อน จะได้เปรียบ โดยเฉพาะ “คนของบ้านใหญ่-เจ้าถิ่น” ที่ปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอน จากกระแสพรรคเดิมที่ตกต่ำ ต่อด้วยการเปลี่ยนพรรคที่สังกัด

“ผมไม่กลัวพวกบ้านใหญ่ เพราะว่าที่ผู้สมัครของเราไม่ใช่คนหน้าใหม่ แต่เป็นคนที่คนในพื้นที่รู้จักดี เพราะเคยเป็นหัวคะแนนให้กับคนเก่า ซึ่งมั่นใจว่าจะปักธงได้ โดยเฉพาะการลงพื้นที่ก่อน จะเป็นข้อได้เปรียบ ลงไปไหว้ประชาชนไปบอกว่ามีนโยบายที่ดีสำหรับพวกเขา ทั้ง 60 ปีมีเงินเดือน 3,000 บาท บำนาญ 100% กฎหมายคุ้มครองลูกหนี้ และบัตรประชาชน มีหลักประกันคดี 6 หมื่นบาท หรือกองทุนอยู่ดีมีสุข ผ่านการออมวันละบาท ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นต้น” สุรทิน ประกาศนโยบาย

กับการเลือกตั้งที่จะมาถึง มีการประเมินทิศทางว่า จะสู้กันด้วยทุนหนัก พ่วงลงมาคือ กระแส และความสนใจของประชาชน พุ่งไปที่ความนิยม “สีน้ำเงิน” กับ “สีส้ม” เป็นหลัก ทว่าในมุมพรรคเล็กมองว่า สิ่งที่จะช่วยเจาะคะแนนได้ คือ บาดแผลที่พรรคใหญ่ทำไว้กับประชาชน และนโยบายทางการเมืองบางอย่างที่ “คนจน-คนฐานราก-คนชาติพันธุ์” เข้าไม่ถึง

โดย “สุรทิน” ประเมินศึกเลือกตั้งระดับพื้นที่ว่า อย่าคิดว่า พรรคภูมิใจไทย ได้เปรียบทุกสนาม เพราะหากดูให้ดี แผลเก่าที่พวกเขาทำ จากนโยบายกัญชา ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องมีคดีติดตัว มีหนี้สิน จากการลงทุนปลูกกัญชา 

ขณะที่ “พรรคประชาชน” นั้น ชาวบ้านมีคำถามมากว่า เลือกแล้วได้อะไร นอกจากการแก้รัฐธรรมนูญ ถึงกับมีคนเคยบอกว่า เลือกไปแล้ว หลอดไฟหลอดเดียวยังไม่ได้เลย

อย่างไรก็ดี พรรคเล็กเสียงเดียวนั้น ยังวางเป้าหมายปลายทางไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องการเข้าร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2569

ส่วนอีกหลายพรรค ซึ่งการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา ได้ สส.เสียงเดียว ไม่ว่าจะเป็น พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ที่ได้ ปรีดา บุญเพลิง เป็น สส. พรรคท้องที่ไทย ได้ สส.บัญชา เดชเจริญศิริกุล พรรคพลังสังคมใหม่ ที่ได้ สส.เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ และ พรรคใหม่ ที่ได้ สส.กฤดิทัช แสงธนโยธิน เข้าสภาฯ ล่าสุดนั้นได้ย้ายสังกัดไปอยู่กับ “พรรคกล้าธรรม” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แล้ว และมีทิศทางที่จะร่วมงานกันต่อในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

เช็กลิสต์ ‘6 พรรคเล็ก’ ลุยต่อลุ้น ‘อะไหล่การเมือง’ รัฐบาล

ขณะที่ พรรคชาติพัฒนา ของ “ตระกูลลิปตพัลลภ” ที่มี สส.ในสภาฯ 3 คน เป็น สส. บัญชีรายชื่อ 1 คน และ สส.เขต 2 คน ใน จ.นครสวรรค์ และ ปราจีนบุรี 

และ “พรรคไทรวมพลัง” ของ “ตระกูลหวังศุภกิจโกศล” ที่มี สส. 2 คนจาก จ.อุบลราชธานี ในความเคลื่อนไหว ยังลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานคะแนนเสียงเอาไว้

ต้องจับตาจุดเปลี่ยนในการปรับบทบาททางการเมืองต่อจากนี้ว่า จะลดสถานะเป็นพรรคอะไหล่ หรือเป็นพี่เลี้ยง สำหรับเด็กฝาก จาก “คนการเมือง” ที่ไม่ได้ไปต่อกับพรรคใหญ่-พรรคกระแส หรือไม่

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์