'3 ขั้ว' วางเกมซ่อนเงื่อน ผลักแก้ ‘รัฐธรรมนูญ’ เข้าทางตัน

'3 ขั้ว' วางเกมซ่อนเงื่อน ผลักแก้ ‘รัฐธรรมนูญ’ เข้าทางตัน

ผลักแก้‘รัฐธรรมนูญ’เข้าทางตัน ปชน.ดันเลือก'กก.ร่าง' พท.-ภท.เบรกหวั่นขัดศาลรธน. จับตาเกมล่ม‘ประชุมกมธ.’ กระทบไทม์ไลน์ประชามติ

KEY

POINTS

  • การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ไม่สามารถลงมติเรื่ององค์กรที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
  • ประเด็นขัดแย้งสำคัญคือข้อเสนอของ "พรรคประชาชน" ที่ต้องการให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลอื่นกังวลว่าอาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
  • ความขัดแย้งในวิธีการได้มาซึ่งองค์กรยกร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับเกมการเมืองของพรรคต่างๆ กำลังผลักดันให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหยุดชะงักและเสี่ยงเข้าสู่ทางตัน

แม้คนการเมืองในกระดานจะออกมาปฏิเสธว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ตัวประกันที่จะเป็นปัจจัยให้ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ตัดสินใจยุบสภาฯก่อน 31 ม.ค.2569 ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับ“พรรคประชาชน” แต่ฉากหลัง กลเกมแก้รัฐธรรมนูญถูกผูกโยงกับวาระของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่…) พ.ศ…. รัฐสภา เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีวาระกำหนดการลงมติตัดสินในเนื้อหาของร่างมาตรา 256/1 ว่าด้วยองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะให้มีเฉพาะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น หรือให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ กลับล่มไม่เป็นท่า

เนื่องจากมี กมธ.อยู่ในห้องประชุมเพียง 20 คน จากทั้งหมด 43 คน  องค์ประชุมจึงไม่ครบ ทำให้ต้องปิดประชุม และนัดใหม่ในวันที่ 12 พ.ย. เวลา 09.30 น. โดยกำหนดให้มีการลงมติทันที

มีการเปิดเผยในทางลับว่า กมธ.สัดส่วนของ “พรรคสีน้ำเงิน - พรรคร่วมรัฐบาล” ไม่ร่วมประชุมนัดดังกล่าว ส่วน “สว.” มีผู้เข้าร่วมประชุม แต่ในช่วงโหวต กลับไม่ปรากฏตัวในที่ประชุม ทั้งที่ให้สัญญาว่า จะผลักดันวาระเร่งด่วนให้ลุล่วงไปด้วยดี

ต้องยอมรับว่าประเด็น “องค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เป็นตัวชี้ขาดว่า จะสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เดินหน้าต่อไป หรือต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้ หากสัญญาณจาก “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” ไม่ชัดเจน “กมธ.ขั้วน้ำเงิน” ก็ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่

“พรรคประชาชน” ยังไม่เผยไต๋ทั้งหมดว่า จะผลักดันให้มี “สภาที่ปรึกษาร่างรัฐบาล” ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ที่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง คือ การให้มีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผ่านการเลือกของประชาชน

“โมเดลสีส้ม”วางให้เลือกแบบบัญชีรายชื่อ โดยแบ่งตามบัญชี เช่น ด้านวิชาการ ด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ เป็นต้น ก่อนจะเปิดรับสมัคร แล้วให้ กกต. จัดให้มีการจับเบอร์ตามบัญชี หลังจากนั้นให้ “ประชาชน” เลือก หลังเลือกเสร็จ ให้นำคะแนนแต่ละบัญชีมาคำนวณ คนที่จะได้รับการคัดเลือก

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการดังกล่าวแล้ว จะส่งให้ที่ประชุม “รัฐสภา” เลือกบุคคลที่จะเข้ามา “กรรมร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” อีกขั้นตอนหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม “โมเดลสีส้ม”ถูกทาง “พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อไทย” คัดค้านอย่างหนัก มีข้อห่วงใยว่าจะขัดคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ แม้จะไม่ใช่การเลือกทางตรงจากประชาชน เนื่องจากต้องผ่านการคัดเลือกจากรัฐสภา แต่การมี “คูหา” ให้ประชาชนเข้าไปเลือก อาจจะถูกตีความว่ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาจากการเลือกของประชาชน

ด้าน “พรรคภูมิใจไทย” เล่นเกมสองหน้า ทางหนึ่งเล่นบทเอาใจ “พรรคประชาชน” สนับสนุนให้ใช้ “โมเดลสีส้ม” แฝงนัยทางการเมือง เพื่อต่อลมหายใจให้กับ “รัฐบาลอนุทิน” หากถูกซักฟอกอย่างน้อยก็มีเสียงของ “พรรคประชาชน” โหวตไว้วางใจ

ทว่า หากอ่านให้ลึก “ขั้วสีน้ำเงิน” อาจจะคิดข้ามช็อต เมื่อเสนอ “โมเดลสีส้ม” ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการขัดคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” 

โดยเฉพาะ การปล่อยให้เกมไหลไปเข้าทาง“นักร้อง” ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อาจจะง่ายกว่าล้มกระดานด้วยตัวเอง แถมยังไม่เสียแนวร่วมทางการเมือง เชื่อมมิตรเอาไว้เพื่อต่อยอดหลังการเลือกตั้ง

อีกทางหนึ่ง “พรรคภูมิใจไทย” เสนอให้ใช้ “โมเดลสีน้ำเงิน” โดยจัดให้มีผู้สมัครมาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ โดย กกต. รวบรวมรายชื่อมาให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือก

เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ขั้วส้ม - ขั้วแดง - ขั้วน้ำเงิน” ต่างวางฝ่ายต่างวางเกมซ่อนเงื่อนเอาไว้ จึงต้องจับตาการประชุม กมธ. ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ หากมีการลงมติเนื้อหาของร่างมาตรา 256/1 จะส่งผลต่อไทม์ไลน์ที่จะเดินต่อไป แต่หากการประชุม กมธ. ล่มอีก อาจจะส่งผลสะเทือนต่อ “รัฐบาลอนุทิน”

เนื่องการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญของ กมธ. จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือน พ.ย. เพื่อมีเวลาให้จัดทำสรุปผลการประชุม ก่อนจะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งคาดการณ์ว่ามีขึ้นในวันที่ 8-9 พ.ย. ก่อนจะเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 12 พ.ย.

ดังนั้นต้องจับตาทุกกลเกมในวงประชุม กมธ. เพราะหากไม่มีข้อสรุปในเร็ววัน หรือการประชุมล่มอีก โอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเหลือน้อยลงทันที

ที่สำคัญโอกาสที่ “รัฐบาลอนุทิน” จะอยู่จนครบสัญญายุบสภา 31 ม.ค. 2569 ย่อมมีน้อยลงเช่นกัน เนื่องจากตัวประกันที่เรียกกันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญหมดลงไป “พรรคประชาชน” อาจจะต้องเปลี่ยนโหมดทันทีเช่นกัน

จับอาการของ “อนุทิน” ตอบคำถาม หากโดน “ฝ่ายค้าน” ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิปรายโดยอะไร วัตถุประสงค์อะไร ถ้าวัตถุประสงค์แบบที่มาทำเพื่อให้เกิดการล้างแค้น เอาคืนแบบนี้ ถามผมกว่าสภาฯ เปิดเมื่อไหร่ เราต้องดูไทม์ไลน์ของจริงด้วย เปิดธ.ค. ผมก็ตั้งใจจะยุบสภา 31 ม.ค.2569 อยู่แล้ว”

“ผมคงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลเล่นๆ ฟรีๆ ถ้าเกิดมันเป็นเกมการเมือง แล้วเกิดรัฐบาลมันสู้เกมการเมืองไม่ได้ ก็ยุบสภาไป ห่างกันแค่เดือนเดียวคงไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไรมากนัก เพราะฉะนั้นเราจะไปตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้”

ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณเตรียมยุบสภาค่อนข้างจะชัดเจน ก่อนจะออกมาแก้ข่าวด้วยการออกแถลงการณ์ 8 ข้อ ร่ายยาวเหตุผลยังไม่ยุบสภา เพราะต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตามคำมั่นสัญญา

ทว่า สถานการณ์ทางการเมือง ปมผลพวงจากปัญหา “สแกมเมอร์ - ทุนเทา” ส่งผลต่อความนิยมของ “อนุทิน” ให้ตกต่ำลง เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำให้เสียแนวร่วม “ชาตินิยม” ไปไม่ได้

หลังจากนี้ ทุกเงื่อนปมจะถูกนำมาประเมินทิศทางของ “รัฐบาลอนุทิน” โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต่างฝ่ายต่างซ่อนไพ่ ซ่อนเล็บ คาดหวังต่อยอดการเมือง โดยมี “รัฐธรรมนูญ” เป็นตัวประกัน