โหน'ชาตินิยม' ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

โหน'ชาตินิยม'  ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

ระยะเวลาแค่ 4 เดือน ยังนานเกินไปสำหรับการรักษาความนิยมของรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ความเสี่ยงสูงสุด ไม่ใช่ประเด็นสแกมเมอร์ แต่เป็น “กระแสชาตินิยม” จากปัญหากัมพูชา

การเมืองไทยน่าจะติดอันดับมีความพลิ้วไหวมากที่สุดในโลก ใครจะเชื่อว่าระยะเวลาแค่ 4 เดือนยังนานเกินไปสำหรับการรักษาความนิยมของรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาใหม่

ดูจากรัฐบาลภูมิใจไทยที่นำโดย “เสี่ยหนู อนุทิน” แค่ไม่ถึงเดือนอาการเริ่มออก รัฐนาวาเริ่มเป๋ เสียรัฐมนตรีไป 1 คนจากปัญหาสแกมเมอร์ และวันนี้กำลังเผชิญพายุใหญ่ ทั้งๆ ที่ตอนเปิดตัวเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลใหม่ๆ มีแต่กระแสตอบรับ แซ่ซ้อง สรรเสริญ

ที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้เข้ามา จังหวะเวลาเอื้อให้สุดๆ เนื่องจากรัฐบาลเพื่อไทยทำไว้ตกต่ำสุดๆ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ระยะเวลาแค่เดือนเศษ รัฐบาลภูมิใจไทยวางแผนยุบสภากันแล้ว

จริงๆ ความเสี่ยงสูงสุด ไม่ใช่ประเด็นสแกมเมอร์ แต่เป็น “กระแสชาตินิยม” จากปัญหากัมพูชา

ผมเองมีหน้าที่เขียนสคริปต์ข่าวและจัดรายการบางรายการในเนชั่นทีวี เคยเตือนไว้ตั้งแต่รัฐบาลเริ่มตั้งไข่ว่า อย่าไปเล่นกับกระแสชาตินิยมมาก เพราะทุกอย่างมันพลิกผันเร็ว และมีความเสี่ยงระดับมากถึงมากที่สุด

โหน'ชาตินิยม'  ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองเสียทีเดียว แต่ได้ฟังมาจากผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองและความมั่นคงหลายคน หนึ่งในนั้นคือ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง

แต่เสียงเตือนคงไม่ดังไปถึงหูของนายกฯอนุทิน หรือพรรคภูมิใจไทย เพราะท่านก็เล่นใหญ่กับกระแสนี้ และเพียงไม่กี่วัน ไม่กี่สัปดาห์ (ไม่ต้องนับเป็นเดือนหรือเป็นปี) กระแสนี้ก็เริ่มตีกลับ

ผมสรุปคำถามเรื่องไทย-กัมพูชา มาดึงสติท่านๆ อีกครั้ง ว่ามันกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่มาก

 1.ปฏิญญาร่วมสู่สันติภาพไทย-กัมพูชา หรือ Joint Declaration ที่นายกฯอนุทินไปลงนามกับ ฮุน มาเน็ต เพื่อสงบศึก และเดินหน้าสู่ความร่วมมือปรองดอง แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ก็มีคำถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือรัฐบาล หรือ ฝีมือทรัมป์ และใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์สูงสุด

โหน'ชาตินิยม'  ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

 2.คำกล่าวของนายกฯอนุทิน ที่ว่ายุคที่ท่านเป็นรัฐบาลไม่มีระเบิดดัง ไม่มีใครขาขาด เช่นกัน แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ก็มีคำถามว่า เป็นฝีมือรัฐบาล หรือ ฝีมือใคร ยิ่งไปกว่านั้นคือคนไทยพอใจหรือไม่ ที่ท่านทำได้แค่นี้ และคำถามที่แหลมคมที่สุดคือ งานนี้ประเทศไทยชนะ หรือแค่เสมอตัว หรือจริงๆ แล้วแอบแพ้ด้วยซ้ำ

เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่กองทัพและรัฐบาลกรอกหูคนไทยมาตลอดคือ ต้องทำให้กัมพูชาไม่เป็น “ภัยคุกคามของไทย” อีกต่อไป ความหมายคือต้องกดเขมรให้แพ้ราบคาบ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ ทุกท่านก็คงเห็นกันอยู่

ที่พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เข้าใจปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่มีใคร “ชนะแบบกินรวม” หรือ Winner takes all โดยเฉพาะในกรณีที่คู่พิพาทเป็นประเทศติดกัน แถมหลังอำนาจของแต่ละฝ่ายก็ไม่ได้ต่างกันแบบไม่ฝุ่น (แม้กัมพูชาจะสู้ไทยไม่ได้เรื่องยุทโธปกรณ์ แต่มีมหาอำนาจหนุนหลังหนาแน่นกว่า) แต่ในเมื่อกองทัพและรัฐบาลสร้างกระแสชาตินิยมเอาไว้แบบนี้ ก็ต้องรับผิดชอบกับความเสี่ยงเมื่อทำไม่สำเร็จ

3.ปราสาทตาควาย จะเอาอย่างไร เพราะภาพที่ปรากฏตั้งแต่หลังวันที่ 28 ก.ค.68 ที่มีการทำข้อตกลงหยุดยิง คือ ทหารเขมรเข้าตั้งฐานในปราสาท แถมวางทุ่นระเบิดพื้นที่โดยรอบ ทำให้ทหารไทยเข้าไปไม่ได้  

คำถาม คือ ไทยจะเอาอย่างไร ใช้กำลังโจมตีตามที่บรรดาขุนทหารออกมาพูด (ไม่แน่ใจว่าแก้เก้อหรือไม่) ก็เสี่ยงสูญเสียหนัก และหากใช้กำลังโจมตี ก็เสี่ยงปราสาทพัง โดนประณาม โดนร้องยูเนสโกอีก

ในทางกลับกัน หากไทยร้องยูเนสโกว่ากัมพูชาใช้ทหารเข้าไปยึดปราสาท จะเปิดช่องให้กัมพูชาจูงมือไทยไปศาลโลกหรือไม่ แล้วถ้าใช้กลไก JBC จะมีวันจบเร็วๆ นี้แน่หรือ

4.ปราสาทคนา สรุปว่าอย่างไร เพราะอยู่ในเส้นเขตแดนฝั่งไทยชัดเจน แต่กัมพูชาสร้างกระเช้าขึ้นมา และตั้งฐานทหาร เป็นการกระทำในฝั่งเขา ไม่ได้มีอาวุธหนัก ไม่ผิดปฏิญญาร่วมฯ แล้วไทยจะทำอย่างไร

ขณะที่ฝ่ายเรายังไม่ขยับอะไรเลย มีแต่สื่อสังคมออนไลน์และสื่อกระแสหลักเข้าไปพิสูจน์ แต่หน่วยงานรัฐ ระดับรัฐบาลกลับนิ่ง แทนที่จะมอบนโยบายให้กรมศิลป์เข้าไปสำรวจ ส่งทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าไปแสดงตนว่าปราสาทอยู่ในเขตไทย ไปปักธงไปทำอะไรให้เป็นกิจจะลักษณะ กลับไม่ทำ

5.ปล่อยเชลยศึก 18 คน เรื่องนี้กำลังร้อนแรงสุดๆ เพราะรัฐบาลเป็นฝ่าย “ลั่น” อาจจะเรียกว่า ทำปืนลั่นใส่ขาตัวเองหรือไม่ กรณีออกมาบอกว่านัดส่งคืนเชลยศึกแล้ว วันที่ 12 พ.ย. คือวันพุธที่จะถึงนี้ จะมาอ้างว่าเป็นข่าวลือ ข่าวปล่อยคงไม่ได้ เพราะคนพูดคือระดับรัฐมนตรี แถมมีข่าวตามมาแล้วด้วยว่า จะไปปล่อยตัวเชลยศึกกันตรงไหน

พอข่าวออกไป ปรากฏว่ากองทัพ และ รมว.กลาโหม รีบลนลานปฏิเสธ ทั้งๆ ที่คนให้ข่าวก็รัฐมนตรีร่วมคณะกับท่าน แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร  

คำถาม คือ กล้าส่งคืนจริงหรือไม่ หรือมีข้อตกลงลับอะไร หรือมีมหาอำนาจกดดัน เพราะประเด็นนี้อยู่ในปฏิญญาร่วมฯ ทั้งที่ไม่ควรมีอยู่ เพราะมีอนุสัญญาเจนีวาคุ้มครองเชลยศึกอยู่แล้ว ซึ่งไทยก็ปฏิบัติตามด้วยดี

เรื่อง “เชลยศึกกัมพูชา” พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ออกมาแจกแจงเงื่อนไขการปล่อยตัวเชลยศึกกลุ่มนี้ ตามที่เขียนไว้ในปฏิญญาร่วมฯ

ถ้าดูตามข้อ 5 ของถ้อยแถลงร่วม ไทยจะปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา ก็ต่อเมื่อมีการดำเนินการตาม ข้อ 4 ของถ้อยแถลงร่วม จึงจะถือว่าเป็นการสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ ตามหลักอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับเชลยศึกได้กำหนดไว้

ในข้อ 4 ของถ้อยแถลงร่วม ประกอบด้วย...

1.ลดความตึงเครียดทางทหาร ถอนอาวุธหนัก
2.ละเว้นการเผยแพร่เฟกนิวส์
3. ฟื้นฟูความเชื่อมั่นความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ด้วยมิตรภาพความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี 
4.เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน
และ 5.แก้ไขข้อพิพาทชายแดน และการจัดทำหลักเขตแดน โดยใช้กลไก RBC - GBC - JBC

โหน'ชาตินิยม'  ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

หลายคนไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้อ่านปฏิญญาร่วมฯ (หรือถ้อยแถลงร่วมฯ) อย่างละเอียด อาจจะลืมประเด็นเหล่านี้ไป ซึ่ง พล.อ.กฤษณะ ได้ช่วยกระตุกเตือน และผมก็นำมาขยายความต่อยอดดังนี้

1.การร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึง Scammer ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการปล่อยเชลยศึก

2.เงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการ 5 ข้ออย่างครบถ้วน ความหมายคือ ความเป็นปรปักษ์สิ้นสุดลง ย้ำว่าต้องสิ้นสุดลง ไม่ใช่แค่ “ความเป็นปรปักษ์ลดลง” เรื่องนี้เขียนเป็นหลักการไว้ในอนุสัญญาเจนีวา 

3.คำถามคือ ใครเป็นคนตอบ หรือ ประเมินว่ามาตรการ 5 ข้อที่เป็นเงื่อนไข ได้รับการปฏิบัติอย่างครบถ้วนแล้ว แน่นอนว่าคงไม่ใช่ AOT (คณะทำงานอาเซียนสังเกตการณ์การถอนอาวุธหนัก) เพราะ AOT มีอำนาจและภารกิจตรวจสอบเฉพาะการถอนอาวุธหนักหรืออาวุธทำลายล้างสูงเท่านั้น

แล้วอีก 4 ข้อใครเป็นคนตอบหรือประเมินว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพแล้ว สมควรที่ไทยจะปล่อยตัวเชลยศึก

4.เงื่อนไขในปฏิญญาร่วมฯ ที่ว่า ให้แก้ปัญหาอย่างสันติ ด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ฟื้นฟูระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ แต่ตอนนี้สองประเทศมีแค่อุปทูตรักษาการ แสดงว่าความสัมพันธ์ทางการทูตยังไม่ปกติใช่หรือไม่?

5.การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เงื่อนไข ฝ่ายกัมพูชาร่วมมือหรือไม่ เพียงใด

6.การแก้ไขข้อพิพาทเขตแดน และการจัดทำหลักเขตแดนโดยสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ ภายใต้ RBC, GBC และ JBC ได้ทำไปเพียงใด มีความคืบหน้าระดับใดจึงจะถือว่าดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

โหน'ชาตินิยม'  ระวังหกล้ม-กระแสตีกลับ

ข้อเสนอที่น่าสนใจสำหรับฝ่ายไทย คือ ต้องให้หน่วยเหนือ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม หรือกองบัญชาการกองท้พไทย เป็นหน่วยตรวจสอบร่วมกับ AOT หรือร่วมกับองค์กรอื่นที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย หรือนานาชาติ และทางที่ดีควรหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ กับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วย ไม่ควรปล่อยให้กองทัพบกเป็นผู้พิจารณาเอง

ขอเตือนไว้ล่วงหน้าเลยว่า หากปล่อยตัวเชลยศึกบนความคลุมเครือ เช่น นัดวันที่ 12 พ.ย. ระวังเรื่องนี้จะบานปลายกลายเป็นชนวนอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมว.กลาโหม และ นายกรัฐมนตรี พ่วงเรื่องปราบสแกมเมอร์

และพึงระวังนักร้องแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเวันการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต

สำคัญที่สุด คือ ระวังเจอข้อหาหนัก “ทรยศต่อชาติ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”

จะหาคะแนนจากกระแสชาตินิยม ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ครับ!