ฉากชีวิต ‘นิสิต’ ครูสู่แกนนำ นปช. ก่อนมอบตัว คดีล้มประชุมอาเซียน

ส้นทางชีวิตของนิสิตเริ่มต้นจากอาชีพครูและนักเคลื่อนไหวด้านการศึกษา ก่อนจะเข้าสู่การเมือง เป็น สส.ร้อยเอ็ด และกลายเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดงในเวลาต่อมา
KEY
POINTS
- นิสิต สินธุไพร อดีตแกนนำ นปช. เข้ามอบตัวกับตำรวจตามหมายจับศาลพัทยาในคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทเมื่อปี 2552 โดยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
- เส้นทางชีวิตของนิสิตเริ่มต้นจากอาชีพครูและนักเคลื่อนไหวด้านการศึกษา ก่อนจะเข้าสู่การเมือง เป็น สส.ร้อยเอ็ด และกลายเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดงในเวลาต่อมา
- การมอบตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 4 ปีในคดีดังกล่าวเมื่อปี 2562 แต่นิสิตไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาจนถูกออกหมายจับ
กลายเป็นข่าวดังข้ามคืน กรณี “นิสิต สินธุไพร” อดีตแกนนำ นปช. เข้ามอบตัวกับตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม (กก.3 บก.ป.) หลังตกเป็นผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลพัทยา เมื่อ 1 พ.ย. 2562 ในคดีร่วมสร้างความวุ่นวาย ล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท ปี 2552 ในข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก เพื่อขอต่อสู้คดี โดยเขาเดินทางมามอบตัวบริเวณป้อมตำรวจทางหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เบื้องต้น จากการสอบสวน “นิสิต” ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และไม่ขอให้รายละเอียดใด ๆ ในชั้นสอบสวน จึงนำตัวส่งศาลจังหวัดพัทยา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับ “คดีล้มประชุมอาเซียน” หลายคนอาจจำกันได้เมื่อราว 16 ปีที่แล้วยุค “แดงทั้งแผ่นดิน” แกนนำ นปช.จำนวนหนึ่ง นำโดย “อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” กับพวก บุกเข้าไปก่อความวุ่นวายบริเวณด้านหน้า รร.รอยัลคลิฟ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อหวังล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เข้าร่วมประชุม ส่งผลให้ประเทศไทยภาพลักษณ์เสียหายอย่างมากจากนานาชาติ
ก่อนที่ในปีถัดมา 2553 ม็อบ นปช.และแนวร่วมคนเสื้อแดง จะเข้ามาปักหลักชุมนุมใหญ่ในใจกลาง กทม. นานหลายเดือน กระทั่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยใช้กำลังทางทหารเข้ามาควบคุมการชุมนุม กระทั่งตัดสินใจสลายการชุมนุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายเจ้าหน้าที่เกือบ 100 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งกลายเป็น “แผลใจ” ของคนเสื้อแดงมาจนถึงปัจจุบัน
“นิสิต สินธุไพร” คือหนึ่งในแกนนำหลักของ แนวร่วม นปช. เขายืนเคียงข้างบนเวทีกับแกนนำทั้งหลาย เช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในชื่อ นปก. โดยเขามีบทบาทสำคัญในการคิดแผนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว และการระดมมวลชนในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะ จ.ร้อยเอ็ด บ้านเกิดของเขา
ประวัติส่วนตัว “นิสิต” เป็นชาวบ้านโนนศรีชัย ต.โพธิ์ใหญ่ จ.ร้อยเอ็ด โดยขณะศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปนายกองค์การนิสิตนักศึกษา หลังจากนั้นได้เข้ารับราชการครู และเป็น “นักเคลื่อนไหว” ทางการศึกษาคนสำคัญใน จ.ร้อยเอ็ด เคยเป็นคณะกรรมการประถมศึกษา จ.ร้อยเอ็ด อดีตผู้นำครูภาคอีสาน ก่อนจะผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมืองในเวลาต่อมา
โดย “นิสิต” เข้าสู่ถนนทางการเมืองครั้งแรกในสีเสื้อพรรคความหวังใหม่ ถูกส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ปี 2544 และชนะการเลือกตั้งเจ้าของพื้นที่เดิมได้ ต่อมาพรรคความหวังใหม่ควบรวมกับพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นปี 2548 ได้รับชัยชนะ สส.ร้อยเอ็ด อีกครั้งในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย
ในห้วงเป็น สส. 2 สมัยแรก “นิสิต” มีบทบาทสำคัญในการเสนอ “อาจสามารถโมเดล” ซึ่งเป็นโมเดลแก้จน กระทั่ง “ทักษิณ ชินวัตร” นายกฯขณะนั้น ได้ลงพื้นที่พร้อมกับ ครม. และข้าราชการระดับสูงเพื่อดูงาน แถมมีนักการทูตหลายประเทศเข้าสังเกตการณ์ ซึ่งโครงการนี้ได้รับการผลักดันจากรัฐบาล และประสบความสำเร็จอย่างมาก กระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2549 โครงการก็ถูกพับไป
ต่อมาในปี 2550 “นิสิต” กลับมาสู่แวดวงการเมืองอีกครั้งกับพรรคพลังประชาชน ยานพาหนะคันที่ 2 ของ “ทรท.” โดยเขาถูกแต่งตั้งเป็น กก.บห.ของพรรค และวางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง สส.ภาคอีสาน อย่างไรก็ดีพรรคพลังประชาชนถูกยุบในเวลาต่อมา เขาในฐานะ กก.บห.ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองในนาม “บ้านเลขที่ 109”
โดยในช่วงที่เขาติดโทษแบนทางการเมืองนั้น เขาได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง และเคลื่อนไหวกับกลุ่ม นปช. กลายเป็นแกนนำหลัก เคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน นปช. ที่มีลักษณะอบรมส่งคนไปเป็น “สายสืบ” ในหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ทั้งนี้เขามีบทบาทระดมมวลชนมาชุมนุมใน กทม.ในปี 2552-2553 และการเคลื่อนไหวล้มประชุมอาเซียนปี 2552 อย่างไรก็ดีภายหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 “นิสิต” เป็นหนึ่งในแกนนำที่ถูกจับและต้องติดคุกพร้อมกับ “ตู่ จตุพร-เต้น ณัฐวุฒิ”
หลังจากนั้น “นิสิต” ถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำ ยังคงคลุกคลีตีโมง และเคลื่อนไหวในนาม นปช.อยู่ กระทั่งเขาพ้นโทษแบนทางการเมืองในช่วงปี 2556 ทว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่ออดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลายคน ตัดสินใจมาเคลื่อนไหวบนถนน ในนาม กปปส. ปลุกม็อบล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
“นิสิต” ในฐานะหนึ่งในแกนนำหลักคนเสื้อแดง ได้ระดมมวลชนตัดสินใจจัดการชุมนุมหลายครั้ง เช่น ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ตั้งแต่ 24 พ.ย.-1 ธ.ค. 2556 และชุมนุมใหญ่เมื่อ 10 พ.ค. 2557 บริเวณ ถ.อักษะ กระทั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขณะนั้น ประกาศใช้กฎอัยการศึกเมื่อ 20 พ.ค. 2557 พร้อมกับเชิญ “คู่ขัดแย้ง” ทุกฝ่ายมาเจรจาที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี
ว่ากันว่าช่วงเวลานั้นแกนนำ นปช.หลายคนประเมินแล้วว่า น่าจะเกิดเหตุ “รัฐประหาร” ขึ้นแน่ แต่ยังไม่ได้เลิกการชุมนุม โดยแกนนำหลัก “เต้น ณัฐวุฒิ-ตู่ จตุพร” พร้อมด้วย “หมอเหวง โตจิราการ-ธิดา ถาวรเศรษฐ” ได้ไปหารือกับ ผบ.ทบ.ที่สโมสรทหารบก ส่วน “นิสิต” ไม่ได้ไปด้วย อยู่รักษาการเวทีชุมนุมที่ ถ.อักษะ ซึ่งคนเสื้อแดงยังปักหลักชุมนุมอยู่ราว 5,000 ชีวิต
กระทั่งวันที่ คสช.ตัดสินใจยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 “นิสิต” เคยเล่าให้ฟังว่า “วันนั้นผมไปขึ้นศาลมา และก็มีภารกิจบางอย่างที่ต้องกลับบ้าน พร้อมกับเอาเสื้อผ้ามาซัก และจะได้เอาชุดใหม่ไปเพื่อนอนต่อในที่ชุมนุม ขณะที่ออกจากบ้านเกิดหิวข้าว เลยแวะกินข้าวเสียก่อน หลังจากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่ ปรากฏว่าเมื่อใกล้จะถึงที่ชุมนุม วิทยุบนรถแท็กซี่ก็เผยแพร่ประกาศ คสช.ที่ยึดอำนาจ”
“เราก็เข้าไปไม่ได้ ได้แต่วนอยู่รอบ ๆ ที่ตรงนั้น พร้อมทั้งโทรบอกมวลชนให้ระมัดระวังตัว ส่วนเราก็พยายามกันตัวเองออกมา แต่ตอนนั้นมวลชนเหลือไม่เยอะ รวมเบ็ดเสร็จประมาณ 5,000 คนเท่านั้น”
หลังจากนั้น “นิสิต” ได้เข้ารายงานตัวกับ คสช. และถูกแยกไปคุมขังตามค่ายทหารต่าง ๆ โดยเขาถูกส่งไปอยู่กับ “ขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำ นปช.อีสาน โดยวันควบคุมตัวเขาเอาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เอาผ้าปิดตา มัดมือ หลังจากนั้นพอถึงสถานที่ก็ให้แยกกันอยู่คนละห้อง พอวันปล่อยตัวเขาก็เอาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เอาผ้าปิดตา มัดมือเหมือนเดิม จนกลับมาถึง กทม.จึงค่อยเปิด
ต่อมา “นิสิต” ถูกดำเนินคดี-รื้อคดีสมัยปี 2552-2553 มาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนบทบาททางการเมืองได้ผ่องถ่ายไปยังทายาททางการเมืองคือลูกสาว 2 คน ได้แก่ “น้ำ” จิราพร สินธุไพร และ “เบียร์” ชญาภา สินธุไพร กระทั่งทั้งคู่ประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ร้อยเอ็ดทั้ง 2 คน โดยเฉพาะ “น้ำ จิราพร” ขึ้นชั้นเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
ส่วน “น้องสาว” คือ “จุรีพร สินธุไพร” ก็ถูกผลักดันเล่นการเมืองท้องถิ่น เคยเป็นรองนายก อบจ.ร้อยเอ็ด อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตข้าราชการทางการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
หลังถูกปล่อยจากการควบคุมตัวโดย คสช. “นิสิต” ยืนยันว่า องค์กรอย่าง นปช.ยังไม่ได้พ่ายแพ้ และพร้อมจะกลับมาอีกครั้ง ทว่าในข้อเท็จจริงผ่านมา 11 ปี หลายคนน่าจะทราบดีว่า นปช.แตกกระสานซ่านเซ็น แบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายอย่างชัดเจน 1.ขั้ว “เต้น ณัฐวุฒิ” ยังปักหลักอยู่กับเพื่อไทย 2.ขั้ว “หมอเหวง-ธิดา” ที่ยึดมั่นอุดมการณ์สุดขั้ว ออกตัวเชียร์ “พรรคส้ม” และ 3.ขั้ว “ตู่ จตุพร” กลับไปอยู่ “อดีตมิตร” คือกลุ่มพฤษภา 35 เคลื่อนไหวล้ม “ชินวัตร”
อย่างไรก็ดีเมื่อ 3 ธ.ค. 2562 ศาลจังหวัดพัทยา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำคุก 4 ปี อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้ไปฟังคำพิพากษา เช่นเดียวกับ “กี้ร์ อริสมันต์” จำเลยคนสำคัญ อดีตแกนนำ นปช. ทำให้ถูกศาลออกหมายจับ
กระทั่งผ่านมาเกือบ 6 ปี “นิสิต” ตัดสินใจกลับมามอบตัวกับกองปราบฯ เพื่อสู้คดีดังกล่าว ทั้งที่จำเลยอดีตแกนนำ นปช.หลายคนในช่วงเวลานั้น ยังคง "หลบหนี" อยู่
ในสถานการณ์ “เพื่อไทย” กำลังเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง จนทำให้หลายคน โดยเฉพาะ “อดีตคนเสื้อแดง” สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?







