‘ส้ม’2 แพร่ง ‘ค้ำ-ค้าน’ ชิงเหลี่ยม ‘เพื่อไทย’ เกมซักฟอก

ปชน.กำลังเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเกมซักฟอกของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีสถานะเป็นทั้ง "ฝ่ายค้าน" และ "ฝ่ายค้ำ" รัฐบาลเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
KEY
POINTS
- พรรคประชาชน (ปชน.) หรือพรรคส้ม กำลังเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเกมซักฟอกของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีสถานะเป็นทั้ง "ฝ่ายค้าน" และ "ฝ่ายค้ำ" รัฐบาลเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
- หากพรรคส้มโหวต "ไม่ไว้วางใจ" รัฐบาล อาจทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเป้าหมายหลักต้องหยุดชะงัก แต่หากโหวต "ไว้วางใจ" ก็จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ และฐานเสียงของพรรค
- พรรคเพื่อไทยมีเสียง สส. เพียงพอที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้โดยลำพัง ทำให้พรรคส้มตกอยู่ในสถานะที่ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งในการลงมติ
- ทางออกที่เป็นไปได้คือ พรรคส้มอาจเจรจากับเพื่อไทยเพื่อยื่นซักฟอกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การแก้รัฐธรรมนูญยังคงเดินหน้าต่อไปได้
มีโอกาสความเป็นไปได้ว่า ถ้าหาก “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลสีน้ำเงิน” นั้น “นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล” จะชิง “ยุบสภาฯ” เพื่อไม่ให้เกิดการซักฟอก ป้องกันเกิด “รอยด่างพร้อย” ทางภาพลักษณ์ ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2569
“เป็นเรื่องที่ผมต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากทำมาเพื่อล้างแค้น เอาคืน เป็นเกมการเมือง ตามไทม์ไลน์สภา เปิดเดือนธ.ค. ผมตั้งใจยุบสภา 31 ม.ค.69 คงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาล เล่นฟรี ๆ ถ้ารัฐบาลสู้เกมการเมืองไม่ได้ ก็ยุบสภาไป” อนุทิน ย้ำชัดถ้อยชัดคำบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เมื่อ 5 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา
ตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของเรื่องนี้ หนีไม่พ้นพรรคประชาชน (ปชน.) ที่ถูกวิจารณ์ว่าสวมหมวก 2 ใบ “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายค้ำ” เพราะ
1.ปชน.มีมติพรรคสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นำไปสู่การผลักดัน “อนุทิน” เป็นนายกฯ คนที่ 32 โดยมี MOA เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดช่องตั้ง สสร.ไปร่างรัฐธรรมนูญใหม่
2.ปชน.ยังมีสถานะเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ที่มี สส.มากสุดในสภาฯ และเป็นพรรคชี้ขาดสำคัญหาก “เพื่อไทย” ยื่นซักฟอก
แม้หน้าฉาก “ปชน.” ดูเหมือนจะมีความพร้อม หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น โดยมีกระแสข่าวว่า วางตัวผู้สมัคร “ผู้ว่าฯ กทม.” เตรียมไว้แล้ว และน่าจะเปิดตัว 26 พ.ย.68 นี้ ส่วนในช่วงปีหน้าหลังยุบสภาฯ จะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. และแคนดิเดตนายกฯ ต่อไป
ทว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดของ ปชน.เวลานี้ หนีไม่พ้นความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มี สสร.ไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ได้เสียก่อน เพื่อปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองหลายขยัก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของ “องค์กรอิสระ” หรือข้อกล่าวหาในประเด็น “มาตรฐานจริยธรรม” เป็นต้น
ความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ณ เวลานี้รุดหน้าไปมาก มีการวางไทม์ไลน์ไว้สอดคล้องก่อนวันยุบสภาฯ คือ 31 ม.ค.2569 โดย “กรรมาธิการของรัฐสภา” อยู่ระหว่างพิจารณาอย่างเข้มข้น แถมยังเซตทุกกระบวนการเอาไว้ตามกำหนดเรียบร้อยแล้ว น่าจะเหลือแค่ความเห็นในเรื่องกลไกของผู้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยณัฐวุฒิ บัวประทุม ประธาน กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา ให้สัมภาษณ์วานนี้ (6 พ.ย.68) ว่า กมธ.เห็นตรงกันในหลักการ คือ ต้องมี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่จะอยู่ในรูปแบบของ กมธ.อย่างเดียว หรือมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือรูปแบบอื่นๆ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กมธ.ต่อไป
ดังนั้น ถ้า ปชน.ยอมรับลูก “เพื่อไทย” ในการซักฟอก “รัฐบาลอนุทิน” จะส่งผลสำคัญต่อ “ก๊กส้ม” ในการลงมติจะโหวตไปในทิศทางไหน
1.ถ้าหากเลือก “ไว้วางใจ” จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของพรรคอย่างมาก และคงยากที่จะอธิบายต่อ “ฐานเสียง-แฟนคลับ” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ถ้า 2.เลือก “ไม่ไว้วางใจ” แน่นอนว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจ “แท้ง” หรืออย่างน้อยที่สุดก็ “ล่าช้า” ออกไปอีกหลายเดือน เพราะนายกฯ ถูกโหวตให้พ้นจากตำแหน่ง
แถมสุ่มเสี่ยงโดนเพื่อไทย “โยนบาป” ใส่ด้วยว่า โหวตน้ำเงินเพื่อหวังแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง ในทางกลับกัน “สีน้ำเงิน” ได้เข้าไปแก้ไขในสารพัดข้อกล่าวหาที่ผ่านมา จนทำให้กระบวนการยุติธรรม “หยุดชะงัก” รวมถึงตระเตรียมกำลังพลไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกก่อนเลือกตั้งใหม่
หากสังเกต “พรรคส้ม” ในช่วงหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่ “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกฯ ต้องเผชิญคดีคลิปเสียงในชั้นการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่กลางปี 2568 เป็นต้นมา จะพบว่า เริ่มพุ่งเป้าโจมตีไปที่เรื่อง “สแกมเมอร์” เป็นหลัก ซึ่งมีหลายเรื่องพัวพันไปถึง “บ้านแดง” พร้อมกับโหมกระพือเรื่องทุจริต หรือไม่ชอบมาพากลของรัฐบาล โดยแทบไม่มุ่งเน้นการถอนรากถอนโคน “โครงสร้างประเทศ” เหมือนในยุค “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” อีกต่อไป
คล้ายกับ “ก๊กส้ม” เริ่ม “อยู่เป็น” และ “รีแบรนด์” ตัวเองเสียใหม่ หากยังหวังจะมีตำแหน่งแห่งที่ในเส้นทางการเมือง เพราะการถูกยุบพรรค 2 ครั้งที่ผ่านมาในรอบ 7 ปีเศษ บั่นทอนสรรพกำลังไปหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น “สปอนเซอร์-กลุ่มมวลชน”
แต่การอยู่เป็นในครั้งนี้ ยังไม่ถึงขั้นมีความพยายามต้องการได้ “ใบอนุญาตใบที่ 2” ตามทฤษฎี “2 ใบอนุญาต” ที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้าเสนอ
ที่สำคัญ การรีแบรนด์ครั้งนี้ เรียกได้ว่ามาถูกทาง ได้ใจมวลชนไปจำนวนไม่น้อย แม้ว่าประเทศอยู่ในสถานะ “ขวาหัน” ฝ่ายอนุรักษนิยมมีอำนาจนำ แต่พรรคส้มเน้นพุ่งเป้าวิจารณ์เกี่ยวกับการใช้งบประมาณ หรือความโปร่งใสของกองทัพ ไม่ทำตัวลักษณะ “น้ำเชี่ยวเอาเรือไปขวาง” ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน คงเน้นโจมตีเกี่ยวกับกระแส “ความคลั่งชาติ” หรือชู “การเมือง” นำ “การทหาร” เป็นต้น
กลับมาที่การซักฟอก แน่นอนว่าขณะนี้ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งมี สส.เกิน 1 ใน 5 ของสภาฯ สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แบบพรรคเดียว ไม่จำเป็นต้องหยิบยืมมือ “ก๊กส้ม” ด้วยซ้ำ และเมื่อขั้นตอนนำไปสู่ญัตติซักฟอกแล้ว “ก๊กส้ม” มีแค่ 2 ทางเลือกคือ 1.ไว้วางใจ 2.ไม่ไว้วางใจ เพียงเท่านี้
ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่า ปชน.อาจเจรจากับ “เพื่อไทย” เพื่อลดแรงเสียดทานทางการเมือง
1.การ “ดีลเฉพาะกิจ” เพื่อยื่นซักฟอกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรืออย่างน้อยที่สุดไม่ซักฟอกนายกฯ เพื่อเปิดทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังคงเดินหน้าต่อ ไม่ค้างเติ่งในสภาฯ และอาจทำให้ไม่ทันในการเลือกตั้งครั้งหน้า
2.การยื่นซักฟอกรัฐมนตรีรายบุคคลนั้น แน่นอนว่าอาจมี “บางพรรค” ตกเป็นเป้า และหากเล่นงานโจมตีพรรคดังกล่าว ย่อมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีทางการเมืองให้ทั้ง “ก๊กส้ม-แดง” แถมยังไม่ต้องถูกครหาว่า “ล้มเกมแก้รัฐธรรมนูญ” ทำให้ได้ผลประโยชน์วิน-วินทั้งคู่
หากทำได้ “ส้ม” อาจพลิกโมเมนตัมทางการเมืองให้กลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง เพราะเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว กล่าวคือ ได้กำจัดบางพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “พรรคเทา” และเป็นศัตรูทางการเมืองกันมา แถมยังเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ต่อ เพื่อนำไปใช้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีก
แต่แน่นอนว่า “ค่ายแดง-น้ำเงิน” ย่อมรู้ทันเกมของพรรคส้ม และไม่หวังให้ “ก๊กส้ม” ได้หน้าไปพรรคเดียว ดังนั้นต้องรอดูการแก้เกมจากอีก 2 ขั้วดังกล่าว ว่าจะออกมาในรูปแบบใด ที่สำคัญจะ “ถูกใจ” พรรคส้มอย่างที่ประเมินเอาไว้หรือไม่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







