'บิ๊กโจ๊ก' ของขึ้น ชี้หน้า นักวิชาการจุฬา ปมทุจริตสอบไม่เป็นธรรม

'บิ๊กโจ๊ก' ของขึ้น ชี้หน้า นักวิชาการจุฬา ปมทุจริตสอบไม่เป็นธรรม

"พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์" ของขึ้น ถึงขั้นชี้หน้า "นักวิชาการจุฬา" กลางวง กมธ.มั่นคง ปมถูกสอบทุจริตสอบไม่เป็นธรรม-มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานถึงผลการประชุมของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ. ได้พิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางการปฏิรูประบบราชการตำรวจในด้านการบริหารงานบุคคลและการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการตำรวจ กรณีศึกษา พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)เรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร.ทุจริตข้อสอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดย 'บิ๊กโจ๊ก' และตัวแทนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นายทัชมัย ฤกษะสุต ประธานสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และนางปารีณา ศรีวนิชย์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาชี้แจงต่อกรรมาธิการ ซึ่งใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการชี้แจงบางช่วง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กล่าวหาว่านางปารีณา ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบมีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าตนคือคนโกงสอบ แต่ยอมรับว่าได้ซองเอกสารจากลูกน้องที่ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ไม่ทราบว่าในซองเอกสารดังกล่าวคืออะไร จึงมองว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบ อีกทั้งยังมองว่าอดีตคณบดี มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีการสอบ เพราะมีสามีเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัยของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบ.ตร.ในขณะนั้น ซึ่งตนมองว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นคู่กรณีของตน และเชื่อว่า อดีตคณบดีอาจจงใจกลั่นแกล้งเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องดังกล่าว

ด้านนางปารีณา ได้โต้กลับทันทีว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเรื่องการโกงข้อสอบเป็นไปโดยถูกต้องตามกระบวนการ และไม่ได้กลั่นแกล้งบุคคลใด ที่ผ่านมายังได้อำนวยความสะดวกให้กับพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการนำรถเข้ามาจอดภายในคณะ เพราะโดยปกติแล้วไม่มีนิสิตคนใดสามารถนำรถเข้ามาจอดได้ รวมถึงการเลื่อนสอบในกรณีต่างๆจนถูกครหานินทาจากนิสิตและอาจารย์คนอื่นๆด้วยซ้ำ ส่วนกรณีที่พาดพิงไปถึงว่าตนเป็นภรรยาของอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในสมัยของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ยอมรับว่าสามีของตนสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มาตั้งแต่ยศนายร้อย จนขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เพราะเหลืออายุราชการเพียง 1 ปี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของ สตช. 

"ขอเอาเกียรติภูมิของความเป็นอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นประกัน หากตนตั้งใจจะกลั่นแกล้งคงไม่เชิญบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย  ส่วนการแจ้งความเอาผิดที่ใช้เวลานานเพราะทางคณะไม่ทราบมาก่อน จนกระทั่งมีข่าวออกมาจึงต้องแจ้งความ หากปล่อยนิ่งเฉยไว้อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้" นางปารีณา ชี้แจง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายของการชี้แจง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ได้พูดเสียงดังและชี้นิ้วไปทางฟากของผู้ชี้แจงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับตั้งคำถามกับนางปารีณา ว่า "ที่บอกว่าสามีของอาจารย์ไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยพล.ต.อ.จักรทิพย์  นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตำรวจรู้กัน ว่าต้องขึ้นผู้บัญชาการประจำ แต่สามีท่านขึ้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค4 ถ้าไม่ใช่คนของผบ.ตร. ไม่มีทางขึ้นผู้บัญชาการหลักได้ ตำรวจรู้ดี ท่านอย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง และการตรวจสอบเรื่องนี้นั้นเป็นการฟังความด้านเดียว" 

ทั้งนี้นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานกมธ.ฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธาน ได้เตือนพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ว่าขอให้ใจเย็นๆ ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จึงกล่าวว่า “ของขึ้นครับ"