กางสเปก ‘ผู้ช่วย สส.’ ครหา ‘ส้ม’อมเงิน? จับตาเกมยุบพรรค

แกนนำพรรคประชาชนปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่าไม่มีนโยบายดังกล่าวและมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อทำลายชื่อเสียง
KEY
POINTS
- แกนนำพรรคกล้าธรรม กล่าวหา สส.บางคนของพรรคประชาชน ว่ามีการหักเงินเดือนผู้ช่วย สส. เพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าสมัครสมาชิกพรรค
- ข้อกล่าวหาพุ่งเป้าไปที่การใช้ "โควตากลาง" แต่งตั้งผู้ช่วย สส. ที่ไม่ได้ทำงานจริงเพื่อนำเงินเดือนส่งเข้าพรรค ซึ่งอาจเข้าข่ายการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์และเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค
- มีการตั้งข้อสังเกตถึงคุณสมบัติของผู้ช่วย สส. บางคนว่าอาจไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น มีประสบการณ์ทางการเมืองไม่ครบตามวุฒิการศึกษา
- แกนนำพรรคประชาชนปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่าไม่มีนโยบายดังกล่าวและมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อทำลายชื่อเสียง
สงครามการเมืองระหว่าง “ก๊กส้ม” และ “พรรคกล้าธรรม” กำลังสร้างความระส่ำระสายอย่างหนักให้แก่ทั้ง 2 พรรค
โดยฝ่ายพรรคประชาชน มี "รักชนก ศรีนอก" สส.กทม. เป็นแกนนำหลักในการตอบโต้ข้อมูลผ่านสื่อ เช่นเดียวกันพรรคกล้าธรรมมี “ไผ่ ลิกค์” สส.กำแพงเพชร เลขาธิการพรรคกล้าธรรม กางปีกปกป้อง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ซึ่งถูก “ไอซ์ รักชนก” ปักธงโจมตี
ต่างฝ่ายต่างงัดสารพัดข้อมูลเท่าที่หามาได้ ทั้งทางสาธารณะ และทางลับ “ค่ายส้ม” หยิบยกประเด็นข่าวจาก “ทอม ไรต์” สื่อมวลชนอิสระ ดีกรีนักข่าวรางวัล “พูลิตเซอร์” ซึ่งขุดคุ้ยอาณาจักรสแกมเมอร์ในกัมพูชา มีการพาดพิงเชื่อมโยงกับ “นักการเมืองไทย” หลายคน และหนึ่งในนั้นมีความใกล้ชิดกับ “นักการเมืองบางพรรค” ที่ร่วมรัฐบาลขณะนี้
เช่นเดียวกัน “พรรคกล้าธรรม” เมื่อเห็นว่า “พรรคส้ม” กำลังตีวัวกระทบคราด “ไผ่ ลิกค์” ไม้เบื่อไม้เมาของ “ไอซ์ รักชนก” จึงออกหน้าเปิดเผย “แชท” ระหว่าง “ไอซ์ รักชนก” กับ สส.พรรคส้ม ว่ามีเป้าหมายทางข่าวเพื่อโจมตี “ธมน.” หลังจากนั้น “ไผ่” เปิดโปงเรื่องการหักเงินผู้ช่วย สส.ของพรรคส้มทันที
กรณีการหักเงิน“ผู้ช่วย สส.”ของ“พรรคส้ม” เพื่อนำส่งไปยังตัวแทนสาขาพรรคประชาชน เพื่อใช้เป็น“ค่าสมัครสมาชิก” ของพรรค หากเป็น“ความสมัครใจ”ตั้งแต่ต้น และการจ่ายเงินเข้าพรรคมีหลักฐานใบเสร็จถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมเป็นเรื่องปกติตามวิธีบริหารจัดการของแต่ละพรรคการเมือง แต่หาก“มิได้ยินยอม” แถมการส่งคนมาเป็น“โควตากลาง” อาจกลายเป็นเงื่อนปมสำคัญที่ทำให้“ปชน.” ต้องเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง
เนื่องจากเรื่องนี้ หากพบว่าเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และเกิดขึ้นจากความจงใจ อาจขยายผลบานปลายถึงขั้น“ยุบพรรค” ได้
ต้องไม่ลืมว่าเมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ “ต้นธาร” ของพรรคส้ม ต้องเผชิญกับวิบากกรรมถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “ยุบพรรค” เนื่องจากการกู้ยืมเงินจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” 2 ครั้ง 191.2 ล้านบาท โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เป็นการทำสัญญากู้ยืมในลักษณะเอื้อประโยชน์ คิดอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขผิดปกติวิสัยทางการค้า ส่อหลีกเลี่ยงมาตรา 62 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ห้ามรับบริจาคเงินเกินกำหนด ถือว่ารับประโยชน์โดยมิชอบ และมีประเด็นเกี่ยวกับการครอบงำพรรค เป็นการทำธุรกิจการเมือง
โดยในกฎหมายพรรคการเมืองฯ นั้น เขียนครอบคลุมไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า หากเป็นการบริจาคเงินเข้าพรรค จะต้องมีการระบุชื่อ หรือเปิดเผยไว้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละเดือนนั้น สส.ปชน.หลายคน บริจาคเงินเข้าพรรค เดือนละ 15,000-20,000 บาท ซึ่งมีการเปิดเผยอย่างชัดแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ทว่า คำถามประการสำคัญคือ การหักเงินผู้ช่วย สส.ดังกล่าว ซึ่งถือเป็น“เงินนอก” ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง แต่กลับส่งไปให้ตัวแทนสาขาพรรคการเมือง นำไปใช้ในการสมัครสมาชิกพรรคนั้น เป็นการบริจาคเข้าพรรค หรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้ค่าตอบแทนของ “ผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.” ถูกบัญญัติไว้ใน พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ฯ ปี 2555 ซึ่งมีระเบียบรัฐสภา ระบุอำนาจหน้าที่เอาไว้ เนื่องจาก สส.ต้องมีหน้าที่นอกเหนือจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอีกมากมายนับไม่ถ้วน เช่น การพบปะประชาชน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน การเข้าประชุม สัมมนา กล่าวสุนทรพจน์โอกาสต่าง ๆ จึงให้ สส.มีผู้ช่วยดำเนินงาน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของ สส.
ปัจจุบัน สส.1 คน สามารถมีผู้ช่วยดำเนินงานได้ 5 คน โดยแต่ละคนจะได้รับเงินเดือนจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้รับค่าตอบแทนคนละ 15,000 บาท/เดือน (ทั้งนี้มีระเบียบใหม่เพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 2568 แต่มีผลบังคับใช้ 1 ต.ค. 2569 ผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.จะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาท/เดือน)
คุณสมบัติของผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.นั้น ถ้าสำเร็จการศึกษาปริญญาโทขึ้นไป ไม่ต้องมีประสบการณ์ทางการเมือง แต่ถ้าจบปริญญาตรี ต้องเคยปฏิบัติหรือประสานงานทางด้านการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หากต่ำกว่านั้น จะต้องมีประสบการณ์มากขึ้น เช่น จบ ปวศ. ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 4 ปี จบ ปวช. ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือสำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 7 ปี เป็นต้น
ส่วนคุณสมบัติทั่วไป มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการการเมือง ข้าราชการรัฐสภา ฝ่ายการเมือง พนักงานหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
โดยการแต่งตั้ง สส.จะเสนอชื่อผู้มีคุณวุฒิการศึกษา และคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้เป็นผู้ช่วยดำเนินงานตามแบบที่กำหนดต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะตรวจสอบคุณสมบัติจากหลักฐานต่าง ๆ ของผู้ถูกเสนอชื่อทุกราย เมื่อเห็นว่าถูกต้องสมบูรณ์ตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ จะมีคำสั่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.
เงื่อนปมที่น่าสนใจของเรื่องนี้ ตามที่“ไผ่ ลิกค์” กล่าวอ้าง คือ
1.มีผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.ปชน.บางคน ซึ่งปัจจุบันลาออกจากตำแหน่งแล้ว อ้างว่า ในช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งนั้น ถูกใส่ชื่อไว้เป็น “โควตากลาง”ของพรรค กล่าวคือ ไม่ได้ทำงานจริง แค่ใส่ชื่อไว้เพื่อรับเงินเดือน หลังจากนั้นจึงโอนเงินก้อนดังกล่าว ไปยังตัวแทนสาขาพรรค เพื่อเอาไว้ใช้ในเรื่องค่าสมัครสมาชิกของพรรค
2.ผู้ช่วยดำเนินงานของ สส.ปชน.บางคน อาจขัดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง เพราะบางคนอายุแค่ 18 ปี เรียนจบชั้นมัธยมปลาย ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ทางการเมืองถึง 7 ปี แต่กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วย สส. แบบนี้ทำได้หรือไม่
เบื้องต้นแกนนำพรรค ปชน. ไม่ว่าจะเป็น “ศรายุทธิ์ ใจหลัก” เลขาธิการพรรค ชี้แจงประเด็นดังกล่าว ยืนยันว่า ปชน.ไม่มีนโยบายแบบนั้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเอาเงินไปซื้อสมาชิกพรรค เพราะเราไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมเราจะต้องไปเพิ่ม จำนวนสมาชิกพรรคเราอยู่ในเกณฑ์ที่ส่งผู้สมัครได้ครบอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรกที่เปิดพรรคประชาชนด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์เรื่องของการมีสาขาพรรค หรือตั้งตัวแทนครบทุกจังหวัด
เลขาธิการพรรค ปชน.เชื่อว่า สาเหตุของเรื่องนี้เป็นเพราะ 1.ปชน.ยังคงกระแสแรงในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงมีการดิสเครดิตเกิดขึ้น 2.เพราะที่ผ่านมา ปชน.ตรวจสอบอำนาจรัฐ และเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของหลายฝ่าย จึงอาจถูกใส่ร้าย
ล่าสุด วานนี้ (5 พ.ย.) “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน.ชี้แจงว่า เป็นข้อมูลที่พยายามโจมตีพรรคประชาชนจากเพจหนึ่ง พยายามดิสเครดิตการทำงานของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน อย่างไรก็ดี การนำเงินเดือนผู้ช่วย สส. ไปจ่ายค่าสมาชิกนั้นไม่สามารถทำได้ และผิดกฎหมาย อีกทั้งพรรคประชาชนไม่เคยสั่ง หรือแนวนโยบายให้ทำเรื่องดังกล่าว
“ไม่ได้เป็นคำสั่งของพรรค สมมติหากเป็นการกระทำของบางคน ผมพร้อมดำเนินการตามกฏหมาย ไม่ได้มีปัญหาอะไรในการที่จะตรวจสอบ และยืนยันว่าในส่วนของพรรคประชาชนมีคนพร้อมตรวจสอบเราเยอะ หน่วยงานองค์กรอิสระต่างๆ พร้อมตรวจสอบเรา ดังนั้นเราไม่มีความกังวลในเรื่องนี้” รังสิมันต์ ยืนยัน
นี่คือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเงื่อนปมที่ “กล้าธรรม” งัดสวนใส่ “ปชน.” ท่ามกลางสงครามข้อมูลข่าวสารระหว่าง 2 พรรค ที่ประชาชนทุกฝ่ายกำลังจับตาอยู่ในตอนนี้
ส่วนข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด จะถูกนำไปยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ หรือเป็นแค่ “วาทกรรม” หวังดิสเครดิตทางการเมืองเท่านั้น คงต้องรอดูกันต่อไป







