‘อนุทิน’ หงายไพ่ ‘ยุบสภา’ ต่อรอง ‘ฝ่ายค้ำ’ ค้านศึกซักฟอก

"อนุทิน" พร้อม "ยุบสภา" หาก "ฝ่ายค้าน" ใช้เกมซักฟอก เล่นงาน สิ่งที่จะนำไปสู่การตัดสินใจนั้น คือ ประเด็นซักฟอก และเสียงหนุนในสภา ที่ "ฝ่ายค้ำ" ต้องไม่เล่นเกมตาม พท.
KEY
POINTS
- นายกฯ อนุทินใช้ประเด็น "ยุบสภา" ก่อนครบ 4 เดือน เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง เพื่อยับยั้ง "ฝ่ายค้าน" ที่เตรียมเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
- หาก "ยุบสภา" เกิดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับต้องหยุดชะงัก ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อ "พรรคประชาชน" ที่กำลังผลักดันกฎหมายเหล่านั้น
- จึงเป็นจุดวัดใจ ว่า "พรรคประชาชน" ที่ถูกมองว่าเป็น "ฝ่ายค้ำ" จะเลือกไม่สนับสนุนญัตติไม่ไว้วางใจ เพื่อรักษาอายุของสภาฯ ซึ่งเป็นโอกาสผ่านกฎหมายสำคัญ ที่ปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างการเมือง
“ยุบสภา” ก่อนครบ 4 เดือนตามข้อตกลงทางการเมืองระหว่าง “พรรคประชาชน” กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูก “ทุกฝ่ายการเมือง” จับจ้องเป็นพิเศษ หลัง “นายกรัฐมนตรี-อนุทิน” ย้ำชัดถ้อยชัดคำบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เมื่อ 5 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา
ในคำถามของคำตอบที่ว่า “ยุบสภาก่อน 4 เดือน” ผูกโยงเข้ากับประเด็นที่ “พรรคเพื่อไทย” จดๆ จ้องๆ จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงที่สภาฯ เปิดสมัยประชุม ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้
“เป็นเรื่องที่ผมต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากทำมาเพื่อล้างแค้น เอาคืน เป็นเกมการเมือง ตามไทม์ไลน์สภา เปิดเดือนธ.ค. ผมตั้งใจยุบสภา 31 ม.ค. 69 คงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาล เล่นๆ ฟรีๆ ถ้ารัฐบาลสู้เกมการเมืองไม่ได้ ก็ยุบสภาไป” เป็นสาระสำคัญที่ นายกฯ พูดไว้
ทว่า ในมุมของฝ่ายนิติบัญญัติ หากยุบสภามาเร็ว ภายในเดือนธ.ค. นี้ แน่นอนว่าจะเกิดความเสียหายในหลายประการต่อกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญ โดยเฉพาะกฎหมายการเมืองที่ “พรรคการเมือง” หวังใจขยายผลต่อในการเรียกกระแสนิยมทางการเมือง
เช่น กลุ่มร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่น หรือ ร่างกฎหมายท้องถิ่นก้าวหน้า ที่ “พรรคประชาชน” ผลักดัน กลุ่มกฎหมายที่เกี่ยวกับนโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าในพื้นที่ กทม. ซึ่ง “พรรคเพื่อไทย” ผลักดันให้สอดคล้องกับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่ “พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย-พรรครวมไทยสร้างชาติ” ผลักดัน โดยร่างกฎหมายเหล่านี้อยู่ในชั้นพิจารณาของกรรมาธิการจากวุฒิสภา
รวมไปถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อปูทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ “กรรมาธิการของรัฐสภา” อยู่ระหว่างพิจารณาอย่างเข้มข้น
ร่างกฎหมายที่ยกตัวอย่างทั้งหมดนั้น ถูกเซตไทม์ไลน์ให้เข้าที่ประชุมของแต่ละสภาฯ ภายในต้นเดือนธ.ค.นี้ ก่อนการยุบสภาที่อาจเกิดขึ้นได้ ในระยะปลายเดือนธ.ค.2568 -ต้นเดือนม.ค.2569
แน่นอนว่า หากร่างกฎหมายเหล่านั้นเคลื่อนไปไม่ถึงเป้าหมาย ย่อมเป็นการเสียโอกาสของผู้ได้รับประโยชน์จากร่างกฎหมาย รวมไปถึง “พรรคการเมือง” จะเสียแต้มต่อการขายผลงานที่ทำมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่า การเสียแต้มต่อเหล่านั้น “พรรคภูมิใจไทย” รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “พรรคกล้าธรรม” คงไม่มองเป็นสาระ เพราะหากแปลคำพูดของ “อนุทิน” ที่บอกว่า “จะไม่ยอมปล่อยใครมาด่ารัฐบาลเล่นๆ ฟรีๆ” เท่ากับว่าได้คาดการณ์ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองต่อตัวเองไว้เหนือกว่าสิ่งอื่นใด
กับประเด็นที่ถูกเก็งว่าจะยกมาเป็นเกมการเมืองถล่ม “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เช่น เกียร์ว่างไม่ปราบอาชญากรรมออนไลน์ กรณีที่มี “รัฐมนตรี” ถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับ “นักธุรกิจ” ที่ทำธุรกิจสีเทา แต่ “นายกฯ” ไม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรมหรือจัดการ
ข้อตกลงเกี่ยวกับ แร่แรร์เอิร์ธ ไทย-สหรัฐอเมริกา ที่ยังไร้คำชี้แจงต่อผลประโยชน์ในผลประโยชน์ที่ซ่อนแอบ รวมถึงคดีทางการเมือง ทั้ง “ฮั้ว สว.- รุกที่เขากระโดง” ที่ดูเหมือนถูกใส่เบรกมือเอาไว้
แม้ว่า ประเด็นที่คาดการณ์นั้น จะยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดเจนว่า “อนุทิน-รัฐมนตรี” ที่ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำผิดอย่างชัดแจ้ง แต่จากประวัติศาสตร์การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ปฏิเสธผลที่เกิดขึ้นไม่ได้ว่า สะเทือนต่อความไว้วางใจของ “ประชาชน” ฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างมาก และยิ่งในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ไม่มีรัฐบาลไหนที่อยากให้ถูกเขย่าศรัทธา
นอกจากนั้นแล้วในอีกมุมที่คาดว่า “อนุทิน” จะใช้ชั่งตวง เป็นเหตุผลสำคัญว่าจะ “ยุบสภา” ณ วันใดนั้น คือ จำนวนเสียงในสภาฯ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 กำหนดไว้ว่า “มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาฯ”
กับตัวเลข สส. ที่มีก่อนปิดสมัยประชุม เมื่อ 30 ต.ค. คือ 492 คน และหากเปิดสมัยประชุมเดือนธ.ค. จะมี สส.ที่ต้องปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่อีก 2 คน จะทำให้ มียอดรวม สส. 494 คน กึ่งหนึ่งของ สส. เท่ากับ 246 คน
ดังนั้นคะแนนที่จะชี้ว่าเป็นคะแนนที่เขี่ย “นายกฯ” หรือ “รัฐมนตรี” ที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะเท่ากับ 247 เสียง
หาก “พรรคเพื่อไทย” จับมือ “พรรคประชาชน” ได้แน่น จะทำให้ “โหวตไม่ไว้วางใจ” ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างชัดเจน และอาจพุ่งสูงเกือบแตะ 300 เสียง
ทว่าหาก “พรรคประชาชน” ไม่เล่นตามเกม “เพื่อไทย” แต่เลือก “งดออกเสียง” หรือ “ไม่ร่วมประชุม” จะทำให้ ผลโหวตคว่ำรัฐบาล-อนุทิน นั้น เป็นไปได้ยากยิ่ง และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ในขณะนี้ เชื่อได้ว่า จะเป็นอย่างหลัง เพราะ “พรรคสีส้ม” เลือกสวมหัวโขน เป็น “ฝ่ายค้ำ” เต็มกำลัง
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ถูกประเมินว่าเพราะปัจจัยงานสภาฯ ที่ “พลพรรคส้ม” ต้องการทำให้สำเร็จ เพื่อวางเป็นบันไดก้าวแรก ปูทางสู่ “การปรับโครงสร้างการเมือง” ในจังหวะที่ พวกเขายังกุมความได้เปรียบเหนือ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เกือบทุกทาง
ทว่า ขณะนี้ด้วยอำนาจ “ยุบสภา” ทำให้ความได้เปรียบที่ “พรรคส้ม” วางใจ กลายเป็น “ความไม่แน่นอน”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






