กมธ.มั่นคง ชง 43 ชื่อพันสแกมเมอร์ ให้ทางการสอบ ซัดนายกตีเช็คเปล่า

'โรม' แจงความคืบหน้าติดตาม 'ทุนเทา' เผย กมธ.มั่นคง จ่อชง 43 รายชื่อพัวพัน 'สแกมเมอร์' ให้ทางการตรวจสอบ ขึ้นแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประเทศ ซัดนายกฯตีเช็คเปล่า ไร้ข้อสั่งการ
KEY
POINTS
- กมธ.ความมั่นคงฯ เตรียมส่งรายชื่อ 43 บุคคลและนิติบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบและขึ้นบัญชีดำ
- นายรังสิมันต์ โรม ประธาน กมธ.ฯ วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีว่าสั่งการแก้ปัญหาแบบ "ตีเช็คเปล่า" โดยไม่มีคำสั่งที่ชัดเจนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้การปราบปรามทุนสีเทาล่าช้า
- มีความคืบหน้าในการตรวจสอบบุคคลสำคัญหลายราย เช่น นายเบน สมิธ ถูกปฏิเสธคำขอสัญชาติ และนายก๊ก อาน ซึ่งมีหมายแดงจากอินเตอร์โพล อาจถูกพิจารณาถอนถิ่นที่อยู่ถาวร
- ประธาน กมธ.ฯ ตำหนิรัฐบาลกรณีแต่งตั้งทนายความของนายเบน สมิธ เป็นข้าราชการการเมือง ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาเครือข่ายสแกมเมอร์
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุม กมธ.ฯว่า กรณีความเชื่อมโยง BIC กรุ๊ป BIC แบงก์ และ นายยิม เลียก โดยภาพรวมเราเริ่มเห็นความคืบหน้า จากการที่เราใช้เวลาประชุมมาหลายครั้ง
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีของนายเบน สมิธ ในเรื่องขอการขอสัญชาติ เราได้ข้อมูลมาว่านายเบน สมิธ มีหลายสัญชาติ และขั้นตอนของการขอสัญชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว ได้มีการส่งคำร้องกลับไปยังผู้ขอเนื่องจากมีความพยายามตกแต่งบัญชีการยื่นภาษีทำให้ไม่สามารถขอสัญชาติได้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการต่อไปหรือไม่ เราพบหลักฐานบางประการที่สามารถดำเนินคดีเพิ่มเติมได้อีก
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีนายก๊ก อาน ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นคนที่มีสัญชาติไทย แต่มีที่อยู่ถาวรคือประเทศไทยโดยใน กมธ.มีการพูดคุยกันว่าหลังจากนี้จะมีการถอนถิ่นที่อยู่ถาวร รวมถึงนายก๊กอานก็ถูกออกหมายแดงในอินเตอร์โพลถึง 3 หมาย สิ่งที่เราต้องมีการพูดคุยต่อจากนี้คือนายกรัฐมนตรีจะมีการประสานกับกัมพูชาเพื่อให้ส่งตัวนายก๊กอาน มาดำเนินคดีที่ประเทศไทยอย่างไรต่อไป นายลี ยงพัด ที่ปัจจุบันได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่ามีการถอนสัญชาติ แต่อยู่ในระหว่างการยึดทรัพย์สินต่อไป
ขณะที่นายยิม เลียก ทาง ปปง. มีแค่ข้อมูลเก่าว่ามีการยึดอายัดทรัพย์นายยิม เลียก ไปแล้ว แต่เบื้องต้นจะมีการดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ เท่าที่ตนฟังทั้งหมด ปปง. พูดมาว่าไม่สามารถริเริ่มดำเนินการอะไรได้ด้วยตนเอง ต้องมีการดำเนินการให้มีคดีมูลฐานก่อน วันนี้ชัดเจนแล้วว่า ปปง.เริ่มนับหนึ่งและอยู่ในขั้นตอนการประสานงาน
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ กมธ.จะมีการทำหนังสือรายชื่อบุคคลต่างๆ รวมกัน 43 คน ที่เราแบ่งเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งเรามีข้อมูลและจะส่งไปให้หน่วยงานต่างๆ รวมถึงตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจสอบและจัดทำเป็นแบล็กลิสต์ว่าเป็นบุคคลที่อาจไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ รวมถึงอาจต้องมีการตรวจสอบความเกี่ยวพันกับแก๊งสแกมเมอร์มากน้อยแค่ไหน ในส่วนของปริ๊นซ์ กรุ๊ป ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการตรวจสอบไม่มีความคืบหน้าอะไร นอกจากนี้ผู้ต้องสงสัยเป็นชาวไต้หวัน แต่ความคืบหน้าในเชิงรายละเอียดยังไม่มี และต้องยอมรับว่าหน่วยงานต่างๆ ยังไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เท่าที่ควรจะเป็น แต่เราคาดหวังว่าเราควรที่จะเห็นความก้าวหน้ากว่านี้เพราะปัญหาต่างๆ มีความร้ายแรง
ทั้งนี้ ในส่วนของ BIC กรุ๊ป และ BIC แบงก์ ที่เราได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยตรงนี้ได้ เพราะยังต้องนำไปใช้ในการตรวจสอบหลังจากนี้ต่อไป แต่เบื้องต้นข้อมูลเป็นประโยชน์เป็นจำนวนมาก
เมื่อถามว่าสัปดาห์หน้าจะมีการเชิญใครเข้ามาชี้แจงบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะมีการสรุปและทำหนังสือแจ้งไปอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นนายกฯ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรมว.เกษตรฯ ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ส่วนในอนาคตจะมีการเรียกนายยิม เลียก และนางแคทลียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบน สมิธ หรือ ภรรยาของนายยิม เลียก มาชี้แจงหรือไม่นั้น เราก็ไม่ได้มีการปิดกั้น
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงกรณี ปรินซ์ กรุ๊ป ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบโดยไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากมีผู้ต้องสงสัยที่เป็นชาวไต้หวัน แต่ในรายละเอียดที่ประชาชนอาจคาดหวังอย่างที่ทางการไต้หวันได้ยึดทรัพย์ไปอีก 4.7 พันล้านบาท ต้องยอมรับว่าหน่วยงานต่างๆ ยังไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น แต่คณะกรรมาธิการฯ ก็มีความคาดหวังว่าจะมีความก้าวหน้ากว่านี้ เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่มีความร้ายแรง
การประชุมวันนี้ยังได้มีการเชิญบุคคลที่มีข้อมูลว่าเกี่ยวพันกับธนาคารบีไอซี ไม่ว่าจะเป็น สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ วรภัค ธันยาวงษ์, พล.ต.อ.วิษณุ ปราสาททองโอสถ อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม และ รีวิน เพทายบรรลือ โดยได้รับความร่วมมือจากเพียงบุคคลเดียวคือ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ที่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ด้วยตัวเอง ขณะที่ วรภัค ไม่ได้มาชี้แจงแต่ทำเป็นหนังสือชี้แจงมาว่าไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดกับธนาคารบีไอซี รวมถึง อารีพงศ์ ก็มีหนังสือชี้แจงมาและพยายามให้ข้อมูลว่าไม่ได้เกี่ยวพันกับธนาคารบีไอซีแต่อย่างไร
นายรังสิมันต์ ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้มาค่อนข้างเป็นประโยชน์ แต่อาจไม่สามารถพูดในรายละเอียดได้เพราะยังต้องนำไปใช้ในการตรวจสอบหลังจากนี้ต่อไป โดยข้อมูลที่ได้มาจาก สถิตย์ ค่อนข้างสอดคล้องกับที่ สถิตย์ ได้มีการพูดในที่สาธารณะอยู่แล้ว ว่าตัวเองไปเป็นประธานของธนาคารบีไอซีจากการชักชวนของนักธุรกิจคนหนึ่ง โดยเป็นอยู่แค่ปีเดียว และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการดำเนินการต่อ
นอกจากนี้ กมธ.ยังได้สอบถาม สถิตย์ เรื่องความเชื่อมโยงของธนาคารบีไอซีกับบริษัทเจิ้งเหอที่ภายหลังถูกคว่ำบาตรโดยทางการอังกฤษ เนื่องจากไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่ง สถิตย์ ได้ชี้แจงว่าไม่ทราบ และไม่ทราบกรณีที่หลายบุคคลมีชื่อปรากฏความเชื่อมโยงเกี่ยวกับธนาคารบีไอซีเช่นเดียวกัน ส่วนในเรื่องของ เบนสมิธ กับ ยิมเลียก ในแง่ของความสัมพันธ์ สถิตย์ รู้จักกับพ่อของ ยิมเลียก มากกว่า ส่วน เบนสมิธ ไม่ได้มีความสนิทคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวและพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง
ข้อมูลต่างๆ เป็นข้อมูลที่จะต้องไปใช้ในการสอบแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการติดตามต่อ และกำลังพิจารณาอยู่ว่าหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญต่อการติดตามเรื่องนี้คือ ฮุ่ยวันเปย์ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ พบว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับประเทศไทยและมีไพรเวทวอลเล็ตอยู่ที่ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเงินที่เกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ กรรมาธิการฯ จะแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการเรื่องนี้ได้ทันที แต่เมื่อตนถามตัวแทนจาก ปปง. ว่านายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการไปยัง ปปง. เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าทาง ปปง. ตอบไม่ได้ นั่นหมายความว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการสั่งการเป็นการเฉพาะ วันนี้ปัญหาอย่างหนึ่งคือฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำให้การแก้ปัญหาทุนสีเทาเป็นไปด้วยความล่าช้า ยังไม่นับว่าความเชื่อมั่นที่ประชาชนมองมายังรัฐบาลก็ลดลงไป
ยิ่งเมื่อวานนี้ที่มีการตั้งทนายความของ เบนสมิธ มาเป็นข้าราชการการเมือง แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องของโควตาของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีการแบ่งสรรกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่ประชาชนมองก็จะมองว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงไม่คิดห้ามปรามหรือดำเนินการ เพื่อไม่ให้คนอย่างที่ปรึกษาของ เบนสมิธ เข้าไปมีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ วันนี้หลายประเทศยังมองว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรในการแก้ปัญหาปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ แต่หากประเทศไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ วันข้างหน้านานาประเทศก็อาจมองว่าที่จริงแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่ไปเกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างแท้จริง โดยที่มีฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง
“การตั้งที่ปรึกษาของ ธรรมนัส ซึ่งอีกบทบาทหนึ่งเป็นทนายความของ เบนสมิธ คือการตบหน้าประชาชนอย่างชัดเจน เหยียบย่ำว่ารัฐบาลนี้จะไม่ให้ความสำคัญหรือความสนใจกับการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างแท้จริง สุดท้ายการพูดผ่านสื่อก็เป็นแค่เพียงลมปากที่พูดออกมาแต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างที่ควรจะเป็น และทำให้ปัญหาสแกมเมอร์ไม่จบ หน่วยงานต่างๆ ก็ต่างคนต่างทำแต่ไม่ได้มีการทำงานสอดประสานกันอย่างมียุทธศาสตร์ ที่จะนำไปสู่การทำลายล้างโครงสร้างของอาชญากรรมข้ามชาติอย่างที่ควรจะเป็น เราเองก็ได้แต่เฝ้ามองนานาประเทศมีความคืบหน้า แตประเทศไทยไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย นี่คือความน่าหดหู่สำหรับประเทศไทยในการปราบปรามและต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ” นายรังสิมันต์ กล่าว







