ล็อกเป้าเอาผิด'ครม.เพื่อไทย’ ผูกปมคดีโยกงบฯ ลดแรงต่อรอง เลือกตั้ง 69

ล็อกเป้าเอาผิด'ครม.เพื่อไทย’ ผูกปมคดีโยกงบฯ ลดแรงต่อรอง เลือกตั้ง 69 แจกหมื่นในมือ ป.ป.ช. รัฐมนตรีแดงผสมน้ำเงินลุ้นรายคน
KEY
POINTS
- ป.ป.ช. รับไต่สวน ครม.เศรษฐา กรณีโยกงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงินของรัฐไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
- การสอบสวนถูกมองว่ามุ่งเป้าไปที่อดีตนายกฯ เศรษฐา และรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก ไม่ใช่ ครม. ทั้งคณะ
- คดีดังกล่าวถูกวิเคราะห์ว่าอาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อผูกมัดและลดอำนาจต่อรองของพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งปี 2569
ปมร้อนโยกงบประมาณ วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
เพื่อดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ หรือดิจิทัลวอลเล็ตแจกหมื่น ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ตามมาหลอกหลอน“พรรคเพื่อไทย” อีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.รับเรื่องไต่สวนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157
ย้อนไปถึงที่มาคดีดังกล่าว ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กับพวก ได้ยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. วินิจฉัยเอาผิดครม.เศรษฐา คณะกรรมาธิการ สส. และสว. ตามมาตรา 144 ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่า ครม.เศรษฐา มิอาจกระทำการขอแปรญัตติตัดทอน ปรับลดงบประมาณต้องห้าม ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และกฎหมายอื่นๆ
องค์ประกอบต้องให้กรรมาธิการเห็นชอบ และ สส. เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ และ สว. ต้องเห็นชอบจึงจะทำการแปรญัตติ เป็นผลทำให้เงินงบประมาณจาก 5 ธนาคาร เป็นการใช้หนี้และดอกเบี้ยตามกฏหมายวินัยการเงินการคลัง โยกไปอยู่ในหมวดงบกลางเพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพื่อคะแนนของพรรคการเมือง
อย่างไรก็ตามเมื่อ “กรรมการ ป.ป.ช.” ตั้งเรื่องไต่สวนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (กรณีกระทำผิดตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561) ทาง “ชาญชัย - พวก” จึงทวงถามคำชี้แจง โดยขอให้พิจารณาทบทวนมติดังกล่าว
เนื่องจาก ป.ป.ช. กล่าวอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยว่า จะพิจารณาเฉพาะในกรณีระหว่างพิจารณาดำเนินการตราพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณประจำปี ในขณะที่ยังไม่ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.เท่านั้น ถือว่า ป.ป.ช. ตีความ มาตรา 144 ที่มีการบัญญัติไว้ 6 วรรค โดย 3 วรรคแรก เป็นเรื่องที่ สส. หรือสว. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 ของสมาชิกในรัฐสภา ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
โดยศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาภายใน 15 วัน เจตนาเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เพื่อทำโครงการใหม่และทุจริต โดย สส. หรือ สว. หรือกรรมาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณเท่านั้น มิได้มีหน้าที่ดำเนินงานใช้งบประมาณซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จึงห้ามแปรญัติ ตามมาตรา 144 ไว้โดยเฉพาะ
ก่อนหน้านี้มีกระแสปมโยกงบฯแจกหมื่น อาจจะมีหมุดหมายล้างสภา เนื่องจากมี สส. - สว. ร่วมกันลงมติเห็นชอบแปรญัตติ หากเข้าข่ายความผิดมาตรา 144 ว่ากันว่า “เครือข่ายขวาสุดโต่ง” ต้องการเปิดช่องให้มี “นายกฯคนนอก” เข้ามาควบคุมกลไกอำนาจ
ทว่าเมื่อ “กรรมการ ป.ป.ช.” ตั้งเรื่องไต่สวนความผิดมาตรา 157 ความหวังของใครบางคน อาจจะต้องปิดฉากลง
ที่สำคัญเงื่อนเวลาในปฏิบัติการล้างสภา อาจจะไม่ตอบโจทย์ “เครือข่ายอนุรักษ์” เพราะไทม์ไลน์การเมืองเปลี่ยน “นายกฯอนุทิน” เตรียมยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569
เมื่อโจทย์เปลี่ยน เกมเปลี่ยน กลไกนิติสงครามอาจจะต้องเปลี่ยนตามไปด้วย การไต่สวน “ครม.เศรษฐา” ทั้งคณะ ยกเว้น ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ มนพร เจริญศรี อดีตรมช.คลัง ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรมช.มหาดไทย ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมประชุมครม.ครั้งที่มีมติอนุมัติโยกงบ 3.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม “ป.ป.ช.” อาจไม่เหมารวม ครม.เศรษฐา ทั้งคณะ เนื่องจากการเรียกไต่สวน เพราะต้องจำแนกตามพฤติการณ์
ทว่า เป้าหลักหนีไม่พ้น “เศรษฐา” รวมถึง “ทีมขุนคลัง” ประกอบด้วย พิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.คลัง จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นเรื่อง
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ระบุว่า “คดีโยกงบ 3.5 หมื่นล้านบาท อาจจะถูกนำไปเทียบเคียงความผิดกับคดีหวยบนดิน ซึ่งคดีดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากครม.ทักษิณ ชินวัตร แต่ถูกที่ถูกดำเนินคดีมีเพียง “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการเกือบทั้งหมด โดยมีพยานหลักฐานบ่งชี้ความผิดได้”
“โอกาสเอาผิดครม.เศรษฐาทุกคนมีน้อยมาก เพราะพฤติการณ์ของแต่ละคน จะถูกพิจารณาต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งต้องรอประเมินจากคำชี้แจงข้อไต่สวน รวมถึงการแสดงความเห็นในที่ประชุมครม. หากมีรัฐมนตรีคนใดทักท้วงเอาไว้ ก็จะถูกนำมาพิจารณาทั้งหมด” แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ระบุ
ขณะที่นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ชี้แจงว่า ขณะนั้น เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตอนนี้ยังไม่เห็นข้อมูลจากป.ป.ช. ยืนยันเราต้องชี้แจงในเจตนา ซึ่งเจตนารมณ์สุจริตอยู่แล้ว ก็ชี้แจงไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่าน
“เรื่องที่จะเข้าครม. ก็ต้องทำตามกฏหมาย ผ่านการกลั่นกรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือใครมีอะไรก็ถามเลขาฯกฤษฎีกา เราก็ต้องเชื่อหน่วยงานที่เป็นองคาพยพของเรา การประชุมครม.ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ผิดกฎหมาย หรือผิดรัฐธรรมนูญ หรือเสียหายต่อประเทศชาติ เราก็ต้องเห็นด้วย” อนุทิน ตอบคำถาม ที่ว่า ในที่ประชุมครม.วันนั้น ได้สงวนความเห็นอะไรหรือไม่
อย่างไรก็ตามหากเช็คชื่อ “ครม.เศรษฐา” มี “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” อยู่ในที่ประชุมครม.เกือบทุกคน จึงค่อนข้างยากที่จะมีปฏิบัติการไล่เช็คบิล “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” เพราะยังมีภารกิจรักษาอำนาจของ “หัวขบวนอนุรักษ์” ให้มั่นคง
ดังนั้นเป้าล็อกอาจจะพุ่งตรงไปที่ “เศรษฐา - รัฐมนตรีเพื่อไทย” เพื่อผูกเงื่อนปมเอาไว้ โดยจะเก็บเอาไว้ใช้หลังการเลือกตั้งปี 2569 ล็อกแขน - ล็อกขา “นายใหญ่ - เพื่อไทย” ลดแรงต่อรองทางการเมือง







