'จุลพันธ์' ลั่นนโยบาย พท.ล้ำกว่าพรรคอื่น เตรียมปล่อยแคมเปญใหม่

'จุลพันธ์' ลั่นนโยบาย พท.ล้ำกว่าพรรคอื่น เตรียมปล่อยแคมเปญใหม่

'จุลพันธ์' ลั่นนโยบายหาเสียง 'เพื่อไทย' ล้ำหน้ากว่าพรรคอื่น เตรียมปล่อยแคมเปญ 'สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน' เหน็บ ปชน.ใช้ 'มีเรา ไม่มีเทา' ให้นึกถึงตอนตั้งรัฐบาลด้วย

KEY

POINTS

  • พรรคเพื่อไทย (พท.) ยืนยันว่านโยบายของพรรคล้ำหน้ากว่าพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากมีคณะทำงานเตรียมการมาเป็นเวลานาน
  • เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่ภายใต้สโลแกน “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน
  • กระบวนการคิดนโยบายจะมีการทำเวิร์กช็อป 2 ระดับ คือในหมู่ ส.ส. และการลงพื้นที่พบปะประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นโดยตรง
  • พรรคจะยกเครื่องการสื่อสารให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น พร้อมเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 ที่ พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปล่อยแคมเปญหาเสียงเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้งครั้งถัดไป ว่า ในมิตินโยบายเชื่อว่าพรรค พท.ล้ำหน้าพรรคอื่นไปเยอะ เพราะเรามีคณะทำงานที่ทำกันมาเป็นเดือนแล้ว นำโดยนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช แกนนำพรรค พท. ดำเนินการเรื่องการคิดนโยบายที่ถูกใจประชาชน ซึ่งโจทย์แรกคือแบ็กทูเบสิก กลับสู่ให้ประชาชนได้เข้าใจง่ายๆ และสัมผัสได้ง่ายขึ้นตรงกับความต้องการของพี่น้องประชาชน ซึ่งเราจะมีการทำเวิร์กช็อป 2 ระดับ คือ

1.ในระดับส.ส.ที่จะมาร่วมเวิร์กช็อปในนโยบายต่างๆ ซึ่งเราเตรียมการภายในกันอยู่

2.นโยบายบางประเภท เช่น เรื่องการเกษตรที่อาจจะต้องลงไปพบปะเกษตรกร นโยบายด้านเอสเอ็มอี ก็อาจจะลงไปพบปะกับกลุ่มเอสเอ็มอี เพื่อพูดคุยว่าแนวนโยบายที่เราคิดมาตรงหรือไม่ และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อปรับเปลี่ยนอย่างไร เชื่อว่านโยบายนี้จะเป็นจุดแข็งของพรรค พท.อีกครั้งที่จะตอบโจทย์ให้กับพี่น้องประชาชนได้

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการออกแคมเปญ ขอให้รอฟังเพราะเราก็เปิดมา แย้มๆ มาแล้ว คือ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” นโยบายของเรายังเป็นเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนของ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่ออกมาว่า “มีเรา ไม่มีเทา” ก็เป็นแนวทางของเขา

“พรรคเพื่อไทยพยายามบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าการตั้งรัฐบาลให้คิดให้รอบคอบ เพราะเราก็รู้กันอยู่ว่าองคาพยพของการจัดตั้งรัฐบาล และองค์ประกอบของพรรคร่วมรัฐบาลคืออะไรบ้างตั้งแต่ต้น ไม่ได้เป็นข้อปิดบังอะไร แล้วจะมาเป็นห่วงว่าตอนนี้เป็น สีเทาหรืออะไร ก็เป็นคนตั้งมาเอง ตรงนี้เราได้เตือนไว้ตั้งแต่ต้น ฉะนั้น ก็คงต้องให้ทางพรรคประชาชนพิจารณาให้ดี วันนี้เราก็เดินหน้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ทุกคนที่มีการกล่าวหากันว่าพรรคเพื่อไทยไม่ตรวจสอบบางกลุ่ม บางคน ก็ขอให้รอดูการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายจุลพันธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ผลโพลของพรรคปชน. และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ยังนำอยู่พรรค พท.จะทำอย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า พรรค พท.เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลง ที่มีการสอบถามมา เราเพิ่งยกเครื่องใหม่ และยอมรับว่าขณะนี้ไม่ใช่จุดพีกของพรรค พท. เพราะช่วงที่ผ่านมา เรื่องข่าวประเทศเพื่อนบ้าน การโจมตีทางการเมือง การเปลี่ยนรัฐบาลเราก็ยอมรับ อย่างไรก็ตาม การเมืองไม่ได้จบภายในวันเดียว ตนมีความมั่นใจ และคิดดูว่าในขณะที่หลายคนปรามาสพรรค พท.ว่า พรรค พท.อยู่ในสถานะที่ไม่ดีนัก และหลายโพลเรามีคะแนนนิยมอยู่ที่ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่มีคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ มีถึง 30 เปอร์เซ็นต์ พรรค พท.มีความเชื่อมั่น ซึ่งเราเป็นพรรคการเมืองแรกและพรรคการเมืองเดียว ที่เคยดำเนินเรื่องนโยบายจนประสบความสำเร็จ และถูกใจพี่น้องประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าคนทำงานมีทั้งเคยทำถูก ทำพลาด เราไม่ได้บอกว่าเราทำสำเร็จทุกเรื่อง แต่เราเป็นคนนำมิติเรื่องนโยบายเข้ามาสู่สังคม เป็นพรรคการเมืองแรกที่นำนโยบายมาบอกประชาชนแล้วทำจริง และยืนยันว่านโยบายครั้งหน้าคงเป็นที่ถูกใจประชาชน

เมื่อถามว่า จะมีการนำนโยบายจากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังทำไม่สำเร็จ มาปัดฝุ่นหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า “เป็นไปได้ เดี๋ยวมาคุยกัน ตรงนั้นขอเวลานิดนึง ยังไม่ได้สรุปหรือมีข้อยุติ”

เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ที่ต้องแบกวิกฤตศรัทธาในช่วงที่ถูกมองว่าเป็นขาลง แล้วต้องดันกลับไปให้ได้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนว่าขาขึ้น เราก็ยังอยู่ในสถานะที่ดี คนที่สนับสนุนพรรค พท.ยังเป็น 10 ล้านคน ตนไม่ได้มองว่าเป็นสถานการณ์ที่มีปัญหาอะไร เรายังมีความเชื่อมั่น เพียงแต่วันนี้ต้องทำองค์ประกอบให้ครบ สิ่งที่เราจะมายกเครื่องพรรคในครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเรื่องการสื่อสาร เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการสื่อสารของพรรค พท.ไม่ทันท่วงที ตั้งรับมากเกินไป เราต้องเป็นผู้สื่อสารในเชิงรุก และโยนประเด็นให้สังคมมากขึ้น อีกเรื่องคือบุคคล ซึ่งผู้สมัครต้องถูกจริตกับประชาชนในแต่ละพื้นที่ เป็นคนที่ลงพื้นที่อยู่แล้ว และเป็นที่รู้จักในพื้นที่เป็นอย่างดี ขณะที่งานสภาฯ เราต้องยกเครื่องให้เข้มข้นขึ้น

"สุดท้ายเรื่องนโยบายต้องทำให้ตรงกับความต้องการเป็นนโยบายแห่งความหวังของสังคมได้ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เราจะเสนอ 3 ชื่อ ซึ่งเป็น 3 ชื่อที่ต้องตรงใจพี่น้องประชาชน และเชื่อว่าการยอมรับจากประชาชนจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง" นายจุลพันธ์ กล่าว