บี้ ป.ป.ช.แจงคดีโยกงบ 3.5 หมื่นล. 'เศรษฐา' ครม.-กมธ.รับผิดร่วมกัน

'ชาญชัย' พร้อมพวก ลุยแถลงค้านมติ ป.ป.ช.สั่งรับไต่สวนกล่าวหา 'เศรษฐา-ครม.' แค่ปมโยกงบ 3.5 หมื่นล้าน ผิด ม.151 หรือไม่ ชี้พวก ครม.-กมธ.ต้องรับผิดร่วมกัน
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นายสมชาย แสวงการ นายเจษฎ์ โทณะวณิก นายนิติธร ล้ำเหลือ แถลงข่าวกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำวินิจฉัยกรณีที่ทั้ง 5 คน ได้ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามมาตรา 144 ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ว่า คณะรัฐมนตรี และนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะเป็นผู้ที่อนุมัติการแปรญัตติต่อกรรมาธิการของรัฐสภา งบประมาณประจำปี พ.ศ. 2568 ปรับลดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ไปใช้ผิดประเภท อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 172 ของพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. โดยอ้างว่ากรรมาธิการ สส. สว. ไม่มีความผิดด้วย เพราะไม่ใช่ผู้กระทำการแปรญัตติ
ทั้งนี้คณะผู้ร้องมีความเห็นด้วยบางส่วนในกรณีนี้ เพราะว่าเมื่อ ป.ป.ช. จะดำเนินคดีความผิด กับคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 เท่ากับต้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการนำผู้กระทำความผิดในข้อหาเดียวกันมาลงโทษและเรียกเก็บเงินจาก 35,000 ล้านบาท ในการกระทำความผิดชดใช้แก่แผ่นดินด้วย
เพราะคณะรัฐมนตรีมิอาจจะกระทำการขอแปรญัตติตัดทอน ปรับลดงบประมาณต้องห้าม ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และกฎหมายอื่น ๆ องค์ประกอบต้องให้กรรมาธิการเห็นชอบ และ สส. เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ และ สว. ต้องเห็นชอบจึงจะทำการแปรญัตติ เป็นผลทำให้เงินงบประมาณจาก 5 ธนาคาร เป็นการใช้หนี้และดอกเบี้ยตามกฏหมายวินัยการเงินการคลัง โยกไปอยู่ในหมวดงบกลางเพื่อนำไปใช้ในโครงการ DW (ดิจิทัลวอลเล็ต) 10,000 บาท เพื่อคะแนนของพรรคการเมือง จึงขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ดำเนินการฐานเป็นผู้สนับสนุนให้คณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน กระทำผิดกฎหมายตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด โดยดำเนินคดีกับคณะกรรมาธิการ สส. และ สว. ที่เห็นชอบด้วย จึงจะถูกต้องตามกฏหมาย
1.ข้อพิจารณาให้ ป.ป.ช. ทบทวน เนื่องจาก ป.ป.ช. กล่าวอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยว่าจะพิจารณาเฉพาะในกรณีระหว่างพิจารณาดำเนินการตราพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี ในขณะที่ยังไม่ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.เท่านั้น ถือว่า ป.ป.ช. ตีความ มาตรา 144 ที่มีการบัญญัติไว้ 6 วรรค โดย 3 วรรคแรก เป็นเรื่องที่ ส.ส. หรือส.ว. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 ของสมาชิกในรัฐสภา ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาภายใน 15 วัน เจตนาเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เพื่อทำโครงการใหม่และทุจริต โดย สส. หรือ สว. หรือกรรมาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณเท่านั้น มิได้มีหน้าที่ดำเนินงานใช้งบประมาณซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จึงห้ามแปรญัติ ตามมาตรา 144 ไว้โดยเฉพาะ
อีกทั้งความหมายของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 88 ส่วนที่ทำผิดเกี่ยวกับมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีบทบัญญัติเป็นครั้งแรกที่ให้ ป.ป.ช. รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ข้าราชการ หรือผู้รู้เห็นจากผู้อนุมัติโครงการ ว่าผิดกฎหมาย โดยให้ร้องต่อ ป.ป.ช. หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีนั้นแล้ว ถ้า ป.ป.ช. รับเรื่อง ต้องรีบดำเนินการโดยพลันโดยทางลับ ห้ามเปิดเผยผู้แจ้ง และถ้ามีมูลให้รีบส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการวินิจฉัยลงโทษ โดยมีอายุความเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดคืนแผ่นดิน ให้เวลาดำเนินการ 20 ปี
เป็นการตราบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการโดยเฉพาะความผิดจากการทำผิด มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อ ป.ป.ช. อ้างเหตุว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่พิจารณา พ.ร.บ. ที่ประกาศใช้แล้ว เท่ากับเป็นการตีความทำลาย พ.ร.ป.ป.ป.ช. มาตรา 88 ที่ถูกตราขึ้นเพื่อให้ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะ เป็นอันเสียไป โดยไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลย
2. ข้อกฎหมายที่ให้ประชาชนได้ดำเนินการช่วยปราบปรามการทุจริตได้ ป.ป.ช. ใช้กฎหมายข้อใดของ ป.ป.ช. หรือกฎหมายอื่นใด ให้อำนาจ ป.ป.ช. ลบล้างกฎหมายมาตรา 88 ของ ป.ป.ช.เอง ทั้งเมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณแล้ว ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนญได้
มีอำนาจใดเหนือบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ที่ต้องพิจารณาทุกวรรค ทั้งหกวรรค โดยเฉพาะวรรคสี่ ให้ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสินถูกหรือผิด และต้องเรียกร้องเงินจากบุคคลที่ทำความเสียหายแก่แผ่นดินเข้าคลังแผ่นดินเป็นเวลา 20 ปี หมายความว่าบทบัญญัติดังกล่าวของวรรค สาม วรรคสี่ วรรคห้า วรรคหก ทำผิดหลังจากประกาศใช้ไปแล้ว จึงรู้ว่ามีหน่วยงานหรือบุคคลใดทำผิด ตามมาตรา 144 จึงนำความแจ้งต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวนโดยพลัน และศาลรัฐธรรมนูญลงโทษผู้กระทำความผิด และเรียกเก็บเงินค่าเสียหายคืนแผ่นดินภายใน 20 ปี
จึงขอให้ ป.ป.ช. ตอบข้อความ ว่าท่านใช้กฎหมายใดดำเนินการยกคำร้องว่า เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 172 แต่ไม่ผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ซึ่งเป็นความผิดเรื่องเดียวกันกับมาตรา 144 ที่ต้นเรื่องมาจากมาตรา 144 โดยขอให้ ป.ป.ช. ตอบภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับเรื่องจากข้าพเจ้า ในฐานะผู้นำความมาปรากฏแก่ ป.ป.ช. โดยพลัน
เพื่อให้ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถยื่นคำร้องให้ความปรากฏแก่ ป.ป.ช. ในการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบได้ หรือ ป.ป.ช. ไม่สามารถใช้กฎหมายมาตรา 88 ของตนในการตรวจสอบยับยั้งการทุจริตเรื่องงบประมาณได้ ขอให้ไต่สวนตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 หมวด 3 เพราะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ทั้งหมดทุกคน รวมทั้งผู้อนุมัติโครงการให้นำเงินไปแจกโครงการ ผิดกฎหมายตามที่ ป.ป.ช. มีมติ







