สว.สำรองแห้ว ศาลฯยกคำร้องถอดถอน 136 สว. เหตุยื่นหลัง กกต.ประกาศผล

สว.สำรองแห้ว ศาลฯยกคำร้องถอดถอน 136 สว. เหตุยื่นหลัง กกต.ประกาศผล

ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยกคำร้อง 'กลุ่ม สว.สำรอง' ขอให้ 136 สว.หยุดปฏิบัติหน้าที่-พร้อมถอดถอนปมฮั้ว เหตุไร้อำนาจ ยื่นหลัก กกต.ประกาศผลไปแล้ว

KEY

POINTS

  • ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งยกคำร้องของกลุ่ม "สว.สำรอง" ที่ขอให้ถอดถอน สว. จำนวน 136 คน
  • ศาลให้เหตุผลว่าคำร้องดังกล่าวถูกยื่นภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการเลือกตั้ง สว. ไปแล้ว
  • การยื่นคำร้องตามกฎหมายที่ผู้ร้องอ้างถึง สามารถทำได้เฉพาะในระหว่างกระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่หลังการประกาศผล

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 มีรายงานจากศาลฎีกาเมื่อ 3 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง อ่านคำสั่ง คดีที่ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว พร้อมตัวแทน "กลุ่ม สว.สำรอง" รวม12 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยถอดถอน และมีคำสั่งให้ สว.จำนวน 136 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่

โดยศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ตามที่ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า สว.จำนวน 136 คน ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ประกาศผลการเลือกแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 กระทำเพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว.โดยวิธีการที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 113 มีพฤติการณ์ส่อไปในทางฝักใฝ่พรรคการเมือง ไม่ปฏิบัติตนให้เป็นกลางในทางการเมือง เช่น การลงมติในเรื่องต่าง ๆ ไปในทิศทางเดียวกันกับความเห็นของพรรคการเมืองบางพรรค การพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระส่อไปในทางไม่สุจริต

เมื่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้ทำการสืบสวนและไต่สวน และมีมติเสนอ กกต.เพื่อพิจารณา กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหนังสือแจ้งผลความคืบหน้าในการสืบสวนต่อประธาน กกต. แต่ กกต.มิได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ.2566 ข้อ 72 การกระทำของกรรมการการเลือกตั้งเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ผู้ร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้สมาชิกวุฒิสภภาตามคำร้อง จำนวน 136 คน หยุดปฏิบัฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว และสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องหรือความเห็นที่ได้รับมาจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่ส่วน เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มายังศาลฎีกา นั้น 

ศาลเห็นว่า แม้ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือก การดำเนินการเกี่ยวกับการเลือก และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ออกตามความในมาตรา 226 วรรรค 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 กำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา การดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง

แต่การที่ผู้ร้องทั้ง 12 รายอ้างว่า ผู้ร้องใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 3 การยื่นคำร้องตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นการยื่นคำร้องที่เกี่ยวกับขั้นตอนในระหว่างการดำเนินการเลือก สว.ในแต่ละระดับ กล่าวคือ ในระดับดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับประเทศ

ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า กกต.ประกาศผลการเลือก สว.ในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 2567 การยื่นคำร้องของผู้ร้อง จึงเกิดขึ้นภายหลังการประกาศผลการเลือก สว.แล้ว ผู้ร้องย่อมไม่อำนาจยื่นคำร้อง โดยอาศัยบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง