สังคม 'จอมพลัง'

ปรากฏการณ์ “อินฟลูเอนเซอร์มากพลัง” สะท้อนปัญหาสังคมไทยได้อย่างน้อย 2 มิติ ความล้มเหลวของระบบราชการ กฎหมาย และมิติค่านิยมทางลัด ไม่ต้องการต่อสู้ตามกระบวนการ ต้องการ“พลังพิเศษ” มากดดัน
ข่าวใหญ่ว่าด้วย “อินฟลูเอนเซอร์คนดัง” ถูกตรวจสอบและตั้งคำถามเรื่องเงินบริจาคจำนวนมหาศาลผ่านมูลนิธิ และความเชื่อมโยงกับนักการเมืองใหญ่ที่ถูกสังคมตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมและความโปร่งใส ทั้งๆ ที่อินฟลูฯ รายนี้เพิ่งมีภาพเป็น “ฮีโร่บ้านหนองจาน” มาไม่นาน
ทำให้ประเมินได้ว่าสังคมไทยกำลังจะได้ตื่นรู้และสรุปบทเรียนกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยตกอยู่ในภวังค์ของ “ทนายเซเลบ” มานาน จนปัจจุบันอยู่ในภาวะ “อับแสง” กันไปแล้วหลายคน และอินฟลูฯ บางคนก็อาจกำลังเดินตามรอยเดียวกัน
ปรากฏการณ์ “ทนายเซเลบ” ต่อด้วย “อินฟลูเอนเซอร์มากพลัง” และอาจรวมถึงรายการโทรทัศน์เรตติ้งสูงบางรายการที่ผูกขาดเรื่องร้องเรียนและการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนกรณีต่างๆ และบางครั้งก็ทำตนเป็น “ศาลเตี้ย” ตัดสินคู่กรณีจนแทบจะยืนอยู่ในสังคมไม่ได้ เรียกว่าทำหน้าที่แทนกระบวนการยุติธรรมที่ยังมีให้พิสูจน์ถึง 3 ศาล 3 ครั้ง สะท้อนปัญหาของสังคมไทยได้ 2 มิติเป็นอย่างน้อย กล่าวคือ
1.มิติความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ระบบราชการ และระบบกฎหมาย ว่าไม่สามารถปัดเป่าความเดือดร้อนของผู้คนให้คลี่คลายได้ หรือไม่ก็กว่าจะได้รับความเป็นธรรมก็ใช้เวลายาวนาน หลายกรณีต้องไปเคาะโลงบอกกัน เพราะผู้เสียหายรอไม่ไหว ตายไปก่อนแล้ว
ด้วยเหตุนี้คนไทยที่ส่วนใหญ่เป็น “มือล่าง” ถูกเบียดเบียน บีฑา เหลื่อมล้ำ จึงต้องหาที่พึ่งใหม่ เพราะข้าราชการไทยพึ่งไม่ได้ หรือไม่ยอมให้พึ่ง
ในอดีตก็ต้องอาศัย “พลังพิเศษ” จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดินสายขอพร บนบานศาลกล่าวกันไป ปัจจุบันก็อาศัย “พลังพิเศษ” จากทนายเซเลบ อินฟลูฯ สื่อใหญ่ พิธีกรปากกล้า
สภาพที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนมีราคาขึ้นมา ถ้ามีความสามารถจริงตามราคาก็ดีไป แต่ถ้าเป็นพวกลักไก่ หาแสง หิวแสง ชาวบ้านก็เสียหาย เหมือนถูกทำร้ายซ้ำอีก
2.มิติค่านิยมแบบไทยๆ คือ นิยมทางลัด ใจร้อน ไม่ชอบรอ ไม่ต้องการต่อสู้ตามกระบวนการ แต่ต้องการ “พลังพิเศษ” มากดดัน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาในมิติแรก
ทุกวันนี้เราจึงอยู่ใน “สังคมจอมพลัง” มีข่าวดราม่าจากความเดือดร้อน ทะเลาะเบาะแว้ง หรือแม้แต่ความไร้จริยธรรมถูกนำเสนอให้เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ กันไม่เว้นแต่ละวัน ประเมินว่ารายการโทรทัศน์ของเมืองไทย น่าจะอุดมด้วยเรื่องราวดราม่ามากที่สุดในโลก
แต่เท่าที่ติดตามดูผลหลังจบดราม่า หรือผู้เสียหายเดินออกจากสปอตไลต์ที่ฉายส่อง ปรากฏว่ามีปัญหาน้อยกรณีมากที่ได้รับการแก้ไขจริงๆ ทุกเรื่องเมื่อสังคมเลิกสนใจ คู่กรณีก็ต้องกลับไปต่อสู้กันในกระบวนการเดิม
ที่แย่ก็คือ การดึงตัวเองให้เข้ามาอยู่ใน ”สปอตไลต์“ ผ่านเซเลบ หรืออินฟลูฯ ทั้งหลาย ปรากฏว่าหลายๆ ครั้งมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย หลายคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินกันมา ที่เดือดร้อนอยู่แล้ว จึงลำบากยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายปัญหาก็ไม่ถูกแก้
ซ้ำร้ายหลายคนพลาดพลั้ง ถูกสังคมพิพากษาจากการนำเสนอประเด็นชี้นำของทั้งสื่อ ทั้งเซเลบ ทั้งอินฟลูฯ ถึงขั้นชีวิตพัง ต้องเดิมก้มหน้าดูดิน ไม่กล้าสบตาใคร
ส่วนบรรดาเซเลบฯ อินฟลูฯ ทั้งหลาย พากันใช้ชีวิตเลิศหรู สุขสบาย แตกต่างจากคนที่พวกเขายื่นมือไปช่วย
นี่คือ ”สังคมจอมพลัง - สังคมทางลัด” ที่มันมักไม่มีอยู่จริง
ไม่ต่างอะไรกับการเมืองไทย เราคาดหวังกันเสมอมาว่าจะมี “อัศวินม้าขาว” เข้ามากอบกู้บ้านเมือง ทั้งที่จริงๆ แล้ว “ไม่มี” หรือถึงจะเคยมี ก็เป็นอดีตไปแล้ว เพราะปัจจุบันโครงสร้างสังคมซับซ้อนเกี่ยวโยงกันจนไม่มีใครกระดิกนิ้วทีเดียวแล้วแก้ปัญหาทั้งหมดได้
ตัวอย่างง่ายๆ ทหารที่ปฏิวัติเข้ามาอย่าง คสช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พิมพ์คำสั่งออกเป็นกฎหมายได้ด้วยตัวเองหลายร้อยฉบับ ไม่ต้องผ่านสภา ไม่ต้องมี Check & Balance แต่บ้านเมืองไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แก้ไขปัญหาเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลย
แถมบางเรื่องยังทิ้งมรดบาปไว้ให้ลูกหลาน ให้รัฐบาลชุดต่อไป อย่างปัญหากัมพูชาที่บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว หรือการดำรงอยู่ของ MOU 43-44
เมื่อเรื่องยากๆ ท่านแก้ไม่ได้ เรื่องง่ายๆ ท่านก็ไม่ทำ ก็เลยไม่รู้ว่าจะยอมให้บ้านเมืองบอบช้ำเพราะต้องการ “จอมพลัง - ทางลัด” ไปทำไม
หันมาดูรัฐบาลภูมิใจไทยก็ไม่ต่างอะไรกัน อยู่มาเดือนเดียวเท่านั้นเริ่มเป๋ มีรัฐมนตรีเซตกเก้าอี้ไปแล้ว 1 คน ที่เหลืออยู่อีกหลายคนก็ไม่รู้จะรอดสันดอนได้ถึงเมื่อไร
ช่วงฮันนีมูนของรัฐบาลช่างสั้นยิ่งกว่าหางอึ่ง เพราะไปเล่นกับกระแสชาตินิยม ทั้งๆ ที่มีคนเตือนแล้วว่าระวังเป็น ”น้ำผึ้งขม“ เนื่องจากความรู้สึกผู้คนในเรื่องแบบนี้พลิกผันเร็วมาก
องค์ประกอบของรัฐบาลชุดนี้ ต้องบอกว่าแท้ที่จริงตั้งความหวังอะไรไม่ได้เลย เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เข้าขั้นน้อยมาก ไม่มีทางมีเสถียรภาพ ต้องยืมจมูกสีส้มหายใจ
แกนนำผู้ค้ำยันรัฐบาล รัฐมนตรีหลายคน แม้แต่ ครม.มีเส้นชุดที่แล้วยังไม่กล้าตั้ง แต่สังคมยอมปิดตา 1 ข้าง เพราะหวังรัฐบาล“จอมพลัง ”ฉุดขึ้นจากปลักปัญหาที่รัฐบาลก่อนๆ ขุดเอาไว้
แม้จะไม่แปลกอะไรกับการตั้งความหวัง แต่อยากเตือนเอาไว้ว่าอย่าไปหวังอะไรมาก ถึงนาทีนี้ต้องบอกว่ารัฐบาลคงไปต่อยาก แค่ 4 เดือนอาจจะนานเกินไป
และหากมีเหตุการณ์ใหญ่บางอย่างบังคับให้อยู่ต่อไป ไม่รู้จะลากความรู้สึกสังคมไปถึงไหน นึกไม่ออกเลยว่าโมเดลการเมืองหลังจากคนเบื่อสีน้ำเงินขึ้นมาอีกรอบจะเป็นอย่างไร
แต่ถึงกระนั้น เราๆ ท่านๆ ก็หนีไม่พ้นต้องยอมรับกันไป เพราะ “สังคมทางลัด - จอมพลัง” มันไม่มีจริง และมันไม่ใช่ของจริง!







