ข้อเท็จจริงคดีสลายแดง ดราม่าเขย่า ‘อภิสิทธิ์’ เอาผิดใครไม่ได้?

อภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และคำสั่งที่ออกมามีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย ไม่ได้สั่งฆ่าประชาชนตามที่ถูกกล่าวหา
KEY
POINTS
- คดีสลายการชุมนุมปี 2553 ที่กล่าวหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้สิ้นสุดลงแล้วในทางกฎหมาย โดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเนื่องจากการยื่นฟ้องผิดขั้นตอนกระบวนการ
- คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติยกคำร้องข้อกล่าวหา โดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการของ ศอฉ. เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์และกดดันกองกำลังติดอาวุธ ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายประชาชน
- อภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และคำสั่งที่ออกมามีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย ไม่ได้สั่งฆ่าประชาชนตามที่ถูกกล่าวหา
- แม้ผู้สั่งการจะพ้นข้อกล่าวหา แต่ ป.ป.ช. ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการที่ใช้อาวุธเกินกว่าเหตุอาจมีความผิดเฉพาะตัว ซึ่งต้องมีการสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
รอยอาฆาตแค้นของ “คนเสื้อแดง” ยังคงฝังลึก เมื่อปรากฏชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯคนที่ 27 คัมแบ็กกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกคำรบ ทำให้หลายคนหวนนึกถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุม “ใจกลางเมืองหลวง” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายพลเรือนและเจ้าหน้าที่รัฐเฉียดร้อยศพ ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
ที่ผ่านมา มีการดำเนินการเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย "ชายชุดดำ" ซึ่งถูกฝ่ายรัฐอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในการชุมนุมปี 2553 เท่านั้น แต่กลับกันยังไม่มีการเอาผิด "เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง" ที่สั่งการให้ใช้กระสุนจริงเพื่อสลายการชุมนุมได้เลย
ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ “นิสิตจุฬาฯ” บางกลุ่มรวมตัวกันชูป้ายประท้วง ทวงถามความรับผิดชอบจากเหตุดังกล่าว หลัง “อภิสิทธิ์” ได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรพิเศษในเสวนาเชิงนโยบายของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หลักสูตรปริญญาเอก สาขานโยบายสาธารณะ ซึ่งมี “ไชยันต์ ไชยพร” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นโต้โผหลักในการจัดกิจกรรม เมื่อ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา
ตามการอธิบายของ “เนเน่” รัดเกล้า สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรค ปชป.ที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้อ้างคลิปวีดีโอซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าวประชาไท ระบุว่า “อภิสิทธิ์” มิได้กีดกันการประท้วงของกลุ่มนิสิตแต่อย่างใด แต่ได้เชิญมาพูดคุยกันเป็นเวลา 20 นาที โดยชี้แจงยืนยันว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ระหว่างที่มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยยกข้อสรุปของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มายืนยันว่า คำสั่งของตัวเองระหว่างเป็นนายกฯนั้น มิได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ยังอ้างถึงกรณี “ธาริต เพ็งดิษฐ์” เมื่อครั้งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เคยสั่งฟ้องเขาในข้อหาสั่งฆ่าประชาชน แต่ยกฟ้องไปแล้วทั้ง 3 ศาล และเขาได้ฟ้อง “ธาริต” กลับข้อหามีเจตนากลั่นแกล้ง
“อภิสิทธิ์” ชี้แจงอีกว่า หลักการความรับผิดชอบคือให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยปกติ เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ส่วนของความรับผิดชอบนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ “นิรโทษกรรมสุดซอย” ในยุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ผ่านมา
“อภิสิทธิ์” ยืนยันอีกว่า เหตุการณ์ที่ควรต้องหาข้อเท็จจริงคือการลอบสังหา “เสธ.แดง” และกรณี “6 ศพวัดปทุมฯ” ซึ่งยืนยันว่าทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งของเขา รวมถึงการสลายการชุมนุมที่มั่นใจว่ามีคำสั่งชัดเจน ให้หลีกเลี่ยงการสูญเสีย ยืนยันไม่เคยหนีความรับผิดชอบ
ที่ผ่านมาภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. เคยรวมพล “คนเสื้อแดง” บางส่วนที่สูญเสียจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอ ให้ดำเนินการสอบสวนต่ออีกครั้งหนึ่ง ทว่าจนถึงปัจจุบันเรื่องก็ยังไม่คืบหน้าถึงไหน หรือยังไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากดีเอสไอต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจในคดี “สลายการชุมนุมปี 2553” นั้น ในทางกฎหมาย อาจเรียกได้ว่า “รูดม่านปิดฉาก” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2560 หรือราว 8 ปีก่อน เมื่อศาลฎีกา ยกคำร้องฝ่ายพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 ที่เป็นโจทก์ มีประชาชน 2 รายยื่นเป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องอภิสิทธิ์ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรณีถูกกล่าวหาว่า สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553
โดยศาลฎีกา พิจารณาแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การสลายการชุมนุมปี 2553 มีบุคคลถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากการการสลายการชุมนุมดังกล่าว อภิสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ได้ให้ ศอฉ. ควบคุมกำหนดแนวห้ามผ่าน และให้ใช้อาวุธปืนเท่าที่จำเป็น ส่วนสุเทพ (จำเลยที่ 2) ได้รับการแต่งตั้งจากอภิสิทธิ์ ให้เป็น ผอ.ศอฉ. มีการให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริง และพลแม่นปืน การออกคำสั่งขอให้สลายการชุมนุมดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต และได้รับอันตราย
ตามคำฟ้องโจทก์ได้อ้างการออกคำสั่งดังกล่าวในขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ฟ้องส่วนตัว ทั้งนี้ตามเจตนารมณ์ของกฏหมาย การกล่าวหาผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 250 (2) และ 275 ที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริง และสรุปผลพร้อมความเห็นการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19 (2) มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และมาตรา 70 เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (1) 10 11 และ 24 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557
ดังนั้นการที่ ดีเอสไอสอบสวนแล้วสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องต่อศาลอาญานั้น ไม่เป็นไปตามกระบวนการและช่องทางตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ และศาลชั้นต้น ที่ชี้ขาดในประเด็นนี้ว่า การยื่นฟ้องดังกล่าวของพนักงานอัยการไม่สามารถทำได้
เท่ากับว่าในทางคดีแล้ว การจะพิจารณาคดีที่มีการกล่าวหา “นักการเมือง-เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง” จะต้องดำเนินการผ่านการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เท่านั้น ก่อนจะมีมติส่งให้ อสส. หรือดำเนินการฟ้องเองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
สำหรับการไต่สวนในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น พบว่า มีการ “ยกคำร้อง” กล่าวหา “อภิสิทธิ์-พวก” ในคดีดังกล่าว ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดดังกล่าวจะ “พ้นจากตำแหน่ง” เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
โดยรายชื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ยกคำร้องกล่าวหาคดีดังกล่าว ได้แก่ ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธานกรรมการฯ วิชา มหาคุณ ภักดี โพธิศิริ ประสาท พงษ์ศิวาภัย วิชัย วิวิตเสวี ปรีชา เลิศกมลมาศ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ณรงค์ รัฐอมฤต และ สุภา ปิยะจิตติ ซึ่งภายหลัง ป.ป.ช.มีมติดังกล่าวนั้น ปานเทพ วิชา ภักดี ประสาท และวิชัย ได้พ้นจากตำแหน่งในอีกไม่กี่วันต่อมา
สำหรับข้อกล่าวหาการสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 มีการกล่าวหา 3 ราย ได้แก่ อภิสิทธิ์ สุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ข้อกล่าวหา อภิสิทธิ์ สุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 แล้ว ศอฉ. ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พ.ค. 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง
แต่ในวันที่ 19 พ.ค. 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป
ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าคนอื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน
อย่างไรก็ดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมของ นปช. ไม่ได้ชุมนุมตามสงบตามรัฐธรรมนูญ โดยอ้างคำพิพากษาของศาล จึงมีเหตุจำเป็นให้ ศอฉ. ใช้มาตรการขอคืนพื้นที่ โดยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งสถานการณ์ สถานการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ แต่เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังในการใช้อาวุธ หากภายหลังพิสูจน์ว่า มีการใช้อาวุธโดยไม่สุจริต และเกินกว่าเหตุ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จะถือเป็นความผิดเฉพาะตัว เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ที่ต้องรับผิดด้วย หากพิสูจน์ได้ว่า ไม่ระงับยับยั้งลูกน้องที่ใช้อาวุธดังกล่าวเกินกว่าเหตุ จึงส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินการสอบสวนกับบุคคลดังกล่าวที่ไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย ต่อไป
สรุปได้ 2 ประเด็นคือ 1.เงื่อนปมปัญหาว่า อภิสิทธิ์ สุดเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ สั่งสลายการชุมนุมโดยชอบหรือไม่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า กระทำโดยชอบแล้ว เพราะไม่ได้ผลักดันผู้ชุมนุมในการขอคืนพื้นที่ แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัด กดดันกองกำลังติดอาวุธ และประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แล้ว จึงมีมมติให้ข้อกล่าวหาตกไป
2.ป.ป.ช.เห็นว่า การชุมนุมของม็อบคนเสื้อแดงดังกล่าว มิใช่เป็นการชุมนุมอย่างสงบภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดีการสลายชุมนุมดังกล่าว แม้จะสามารถให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง หากพบว่า มีการใช้เกินกว่าเหตุ จนทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ถือเป็นความผิดเฉพาะตัว และหากพิสูจน์ได้ว่าผู้บังคับบัญชาในพื้นที่รู้เห็น ไม่ยับยั้ง ก็ผิดไปด้วย จึงมีมติส่งเรื่องให้ดีเอสไอสอบสวนประเด็นนี้ ยกเว้นผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย
ประเด็นเหล่านี้ถูกเน้นย้ำขึ้นอีก ในช่วงที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ตกเป็นจำเลยคดีสลายพันธมิตรฯปี 2551 (ขณะนั้น) ทำเรื่องขอให้ ป.ป.ช. เปรียบเทียบคดีสลายพันธมิตรฯปี 2551 กับคดีสลายคนเสื้อแดงปี 2553 ในห้วงเวลาที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์คดีของ ป.ป.ช. ยืนยันว่า คดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอน มีกฏหมายรองรับทั้งหมด ต่างจากการสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ไม่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน
ดังนั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้คือ ชื่อของ “อภิสิทธิ์” แม้จะถูกครหาจาก “คนเสื้อแดง-ภาคประชาชน” ถึงการรับผิดชอบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 แต่ข้อเท็จจริงในทางกฎหมายนั้นถือว่า “สิ้นสุด” ลงแล้ว เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานใหม่เพื่อไปยื่นให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพยานหลักฐานใหม่ที่ ป.ป.ช.จะดำเนินการ “รื้อคดี” ขึ้นมาไต่สวน แม้ว่าในปี 2560 “ณัฐวุฒิ” จะเคยยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนใหม่ก็ตาม
ปัจจุบันผ่านมาแล้วถึง 15 ปีในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมใน “เมืองหลวง” ที่นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีนับตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากมวลชนหลายฝ่าย รวมถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าว ที่บางรายสูญเสียสามี ภรรยา บุตร หรือเครือญาติ แม้จะได้รับการจ่ายเงินเยียวยาเป็นหลักแสนหรือหลักล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถทดแทนหนึ่งชีวิตที่สูญเสียไปได้อยู่ดี
ส่วน “คนสั่งการ” และ “ผู้อยู่เบื้องหลัง” เหตุการณ์ดังกล่าว ยังคง “ลอยนวล” ไม่สามารถนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้จนถึงปัจจุบัน?







