ผ่ายุทธศาสตร์ ผ่าน‘คะแนนนิยม’ 'น้ำเงิน-ส้ม-แดง'บนกระดานอำนาจ

ถอดรหัสการเมืองรอบหน้า ผ่านสมการ “3ก๊ก” น้ำเงิน-ส้ม-แดง ยังต้องจับตา นอกเหนือจาก3สีที่เห็นชัดถึงเกมชิงอำนาจฝ่ายบริหารเพื่อขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล
KEY
POINTS
- ผลสำรวจนิด้าโพลในภาคอีสานชี้ว่า พรรคประชาชน (สีส้ม) มีคะแนนนิยมนำเป็นอันดับหนึ่ง แต่ความนิยมในตัวบุคคลที่จะเป็นนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล (สีน้ำเงิน) กลับมีคะแนนนำอยู่
- พรรคภูมิใจไทย (สีน้ำเงิน) ภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ใช้ยุทธศาสตร์ชิงความได้เปรียบด้วยการส่งสัญญาณยุบสภาเร็ว พร้อมเดินเกมรุกดูด สส. และใช้นโยบายประชานิยมเพื่อขยายฐานเสียง
- พรรคประชาชน (สีส้ม) วางกลยุทธ์ใช้กระแสความนิยมของพรรคเพื่อผลักดันคะแนนนิยมของหัวหน้าพรรค
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่2พ.ย. เรื่อง “กระแสการเมือง ภาคอีสาน” สำรวจระหว่างวันที่ 27-30 ต.ค. 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ “นิด้าโพล” ถามถึงบุคคลที่คนอีสานจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้5อันดับแรก
พบว่า อันดับ1 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ คิดเป็น 32.40% อันดับ 2 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คิดเป็น 19.70%
อันดับ 3 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร คิดเป็น 18.55% อันดับ 4 ชัยเกษม นิติสิริ สมาชิกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 8.80% อันดับ 5 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คิด6.10%
ทว่าเมื่อถามถึง “พรรคการเมือง” ที่คนอีสานจะสนับสนุนในวันนี้ 5อันดับแรก กลับพบว่า อันดับ 1 เป็นพรรคประชาชน คิดเป็น 26.05%อันดับ 2 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ คิดเป็น 24.65% อันดับ 3 พรรคเพื่อไทย คิดเป็น 16.85% อันดับ 4 พรรคภูมิใจไทย คิดเป็น 15.75% และอันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ คิดเป็น 5.55%
แน่นอนว่าภายใต้ความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมืองเวลานี้ต่างฝ่ายต่างงัดสารพัดกระบวนท่าออกมาต่อสู้ฟาดฟันเพื่อช่วงชิงคะแนนนิยม เห็นชัดถึงสัญญาณนับถอยหลังการเมืองสู่โหมดเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
ตอกย้ำด้วยท่าทีของ “นายกฯหนู” อนุทิน พูดระหว่างลงพื้นที่จ.ตรังเมื่อวันที่ 2พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัว “บ้านใหญ่โล่ห์สถาพรพิพิธ” พร้อม “4ว่าที่ผู้สมัครสส.ตรัง” ที่ย้ายซบภูมิใจไทย
ช่วงหนึ่ง “นายกฯอนุทิน” ย้ำกับผู้ที่มาต้อนรับว่า “รัฐบาลจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และขอให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งปีหน้า”
เช่นนี้ต้องจับตา จังหวะก้าวย่าง “พรรคสีน้ำเงิน” จากที่ก่อนหน้านี้มีการประเมินว่า “นายกฯอนุทิน” อาจใช้จังหวะในช่วงสถานการณ์สำคัญ เป็นเงื่อนไขในการยืดอายุ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” หรือขยับไทม์ไลน์ยุบสภาออกไป ถึงนาทีนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น
อ่านเกม‘อนุทิน-ภท.’ปิดเร็ว-จบเร็ว
อย่าลืมว่า อำนาจในการยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว
ฉะนั้นภายใต้สัญญาณเวลานี้เห็นชัดว่า “ภูมิใจไทย” กำลังเดินเกมรุกเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในห้วงที่ถืออำนาจฝ่ายบริหารไว้ในมือ เห็นชัดถึงสัญญาณอย่างน้อย5สัญญาณ
ทั้งการเปิดตัวสารพัดซุ้มการเมืองโชว์ความพร้อมการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
โดยเฉพาะซุ้มการเมืองสายอีสานซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ สแกนจำนวน สส.อีสาน ในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา เพื่อไทย มีสส.73ที่นั่ง, ภูมิใจไทย 35 ที่นั่ง, พลังประชารัฐ 7 ที่นั่ง, ก้าวไกล 7 ที่นั่ง, ไทยสร้างไทย 5 ที่นั่ง, ไทรวมพลัง 2 ที่นั่ง, ปชป. 2 ที่นั่งและชาติไทยพัฒนา 1 ที่นั่ง
ยังไม่นับผลการเลือกตั้งซ่อมเขต5 จ.ศรีษะเกษ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสียแชมป์ให้กับพรรคภูมิใจไทย1ที่นั่ง ฉะนั้นหากภูมิใจไทยต้องการเป็น “รัฐบาลเกินร้อย” ย่อมต้องตีฐานในพื้นที่ดังกล่าวให้ได้มากที่สุด
หรือการหว่านนโยบายประชานิยม“ลด-แลก-แจก-แถม”ล่าสุดคือ นโยบาย“คนละครึ่งพลัส” ที่ประเดิมเฟสแรกไปเมื่อวันที่20ต.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่นับรวมสารพัดนโยบายชิงแต้มที่จะถูกปล่อยออกมาหลังจากนี้
ไม่เว้น แม้แต่การโหนกระแสชาตินิยมโชว์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า พื้นที่บริเวณชายแดนไทยกัมพูชาไม่ว่าจะเป็น จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น
ไหนจะการจัดวางกลไกเพื่อเตรียมพร้อมไปสู่การเลือกตั้งที่จะมาถึง ทั้งกรณีที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ให้ความเห็นชอบ “อนันต์ สุวรรณรัตน์”และ“ณรงค์ รักร้อย”เป็นกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คนใหม่ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีความใกล้ชิดกับเครือข่ายสีน้ำเงิน
หรือกรณีการจัดแถวโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย“บิ๊กล็อต” เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ส่องรายจังหวัดเห็นชัดว่า เป็นการจัดวาง“เครือข่ายสีน้ำเงิน”เพื่อเตรียมพร้อมสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ไหนจะเกมสภาที่รอเปิดฉากรุกทั้งจาก “ฝ่ายค้าน” และ“ฝ่ายแค้น” โดยเฉพาะศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่คาดว่าจะมีการเปิดฉากหลังเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่12ธ.ค.
เป็นเช่นนี้จึงมีทฤษฎีแทงสวนที่ว่า ในเมื่อ“นายกฯอนุทิน” ไม่ได้หวังเป็นแค่รัฐบาลเฉพาะกิจ4เดือน แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการเป็นรัฐบาอีก4ปี แน่นอนว่า การเลือกเดินเกมด้วยการชิงจังหวะได้เปรียบ “ปิดเร็ว-จบเร็ว” อาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่ภูมิใจไทย รวมถึง “อนุทิน” เลือกใช้
ปชน.“มีเทา-ไม่มีเรา” เป้า250สส.
ตัดมาที่ขั้วฝ่ายค้านอย่าง “พรรคประชาชน” แน่นอนว่า ภายใต้กระแสที่ดูเหมือนจะยังป๊อปปูล่าเห็นชัดจากผลสำรวจ “นิด้าโพล” ที่คะแนนโหวตยังเป็นอันดับ1ที่คนอีสานจะสนับสนุนในวันนี้
ทว่าผลสำรวจเดียวกันกลับพบว่า คะแนนนิยมในส่วนของ “เท้ง” ณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรค กลับตาม “อนุทิน” ในระดับสูสีคู่คี่ทิ้งห่างกันเพียง1% ถือว่ายังไว้วางใจไม่ได้
จุดนี้จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญที่พรรคส้มจำต้องงัดกลยุทธ์ โดยอาศัยคะแนนนิยมพรรคเพื่อเป็นตัวส่ง “เท้ง” ณัฐพงษ์ พลิกกลับขึ้นนำให้จงได้
เหนือไปกว่านั้นอีกหนึ่งบทเรียนของพรรคส้มในรอบที่ผ่านมาคือการเสนอชื่อ“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียว กลับกลายเป็นจุดอ่อนทำให้พรรคส้มไม่สามารถเสนอชื่อ แคนดิเดตนายกฯ ในวันที่เกิดสมการพลิกได้
กลายเป็นไฟต์บังคับให้พรรคส้มต้องจับมือ“พรรคสีน้ำเงิน”เพื่อโหวต “อนุทิน” เป็นนายกฯ ภายใต้เงื่อนไขไม่ร่วมรัฐบาล จนถูกค่อนแคะว่าเป็น“ฝ่ายค้ำ”ไม่ใช่ “ฝ่ายค้าน” ในเวลานี้
แน่นอนว่าบทเรียนที่เกิดขึ้นย่อมกลายเป็นโจทย์สำคัญของพรรคส้มในการเลือกตั้งรอบนี้ ที่ว่ากันว่า เตรียม 3 ชื่อแคนดิเดตนายกฯเพื่อปิดจุดอ่อนไม่ให้ซ้ำรอยอดีต
อ่านเกม “พรรคส้ม” เวลานี้พยายามโหมกระแส “มีเราไม่มีเทา” ล็อกเป้าไปที่รัฐมนตรีสีเทาในรัฐบาลอนุทิน ที่นอกเหนือจากจะเป็นสลัดภาพการเป็น “ฝ่ายค้ำ” แล้วยังหวังผลไปถึงการเรียกเรตติ้งไต่บันไดไปถึงเป้าหมาย “250ตั๋วผู้แทน” ในสมการการเมืองรอบหน้าอีกด้วย
เพื่อไทยไปต่อ‘ไร้เงาชินวัตร’?
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ที่เวลานี้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่ หลังที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2568 มีมติเลือก “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” สส.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน “แพทองธาร ชินวัตร” ตามคอนเซ็ปต์ไม่มีคนในตระกูลชินวัตร เพื่อประสานทุกกลุ่มก้อนในพรรค
ต้องจับตาช็อตต่อไปว่า เพื่อไทยยุคไร้ชื่อ “คนชินวัตร”อยู่ในทีมบริหาร จะเดินยุทธศาสตร์อย่างไรหลังจากนี้ โดยเฉพาะสมภูมิภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นฐานะที่มั่นสำคัญของค่ายสีแดง แถมแบรนด์ชินวัตร ยังเป็นจุดขายในสนามเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา
โดยการเลือกตั้งรอบที่แล้วเพื่อไทยได้สส.มาถึง73คน มารอบนี้ยังต้องเจอคู่ต่อสู้อย่าง “พรรคน้ำเงิน” ที่เวลานี้ยิง “กระสุน”อย่างหนักหน่วงดูดสารพัดซุ้มการเมืองภาคอีสาน ไหนจะ “พรรคส้ม” ที่ยังมี “กระแส” ในภาคอีสานสะท้อนจากผลโพลที่ปรากฎออกมา
เหนือไปกว่านั้นต้องจับตารายชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ถึงที่สุดจะหนีพ้นเงาคนใต้ชายคาบ้านจันทร์หรือไม่อย่างไร
ถอดรหัสการเมืองรอบหน้า ผ่านสมการ “3ก๊ก” น้ำเงิน-ส้ม-แดง ยังต้องจับตา นอกเหนือจาก3สีที่เห็นชัดถึงเกมชิงอำนาจฝ่ายบริหารเพื่อขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลแล้ว
ยังต้องตับตาไปที่การเมืองขั้วที่4 ทั้ง กล้าธรรม ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา รวมถึงพรรคเล็กอื่นๆ
ที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสมการการเมืองรอบหน้าภายใต้เกมชิงอำนาจที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้







