'พริษฐ์' ชู 10 ข้อรัฐต้องลงทุนในคน ยกระดับทักษะ อิงกลไกตลาด

'ไอติม พริษฐ์' โชว์ 10 ข้อสังเกตโครงการ SkillsFuture ของสิงคโปร์ ชี้รัฐต้องลงทุนในคน ผ่านนโยบายยกระดับทักษะ อิงกลไกตลาด
KEY
POINTS
- พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน เสนอแนวทางให้รัฐลงทุนยกระดับทักษะคนไทย โดยถอดบทเรียน 10 ข้อจากโครงการ SkillsFuture ของสิงคโปร์ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
- เสนอให้รัฐเปลี่ยนบทบาทจากผู้จัดอบรมมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก โดยให้ "เครดิต" แก่ประชาชนสำหรับเลือกเรียนหลักสูตรที่ต้องการเอง เพื่อใช้กลไกตลาดขับเคลื่อนคุณภาพ
- บทบาทสำคัญของรัฐคือการคัดกรองและรับรองหลักสูตรที่หลากหลาย โดยใช้ข้อมูลวิเคราะห์ความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้ทักษะที่พัฒนาขึ้นสอดคล้องกับอนาคต
- นโยบายสามารถออกแบบให้ยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ เช่น การให้เครดิตเพิ่มเติมแก่แรงงานวัยกลางคน หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการ SME เพื่อพัฒนาทักษะพนักงาน
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ "รัฐต้องลงทุนใน “คน” ผ่านนโยบายยกระดับทักษะที่อิงกลไกตลาด 10 ข้อสังเกตที่น่าสนใจจากโครงการ SkillsFuture ของประเทศสิงคโปร์" โดยระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนเป็นอันดับต้นๆคือเรื่อง “คน” สถานการณ์เรื่อง “คน” ของประเทศไทย อยู่ใน “จุดเสียเปรียบ 2 เด้ง” (double disadvantage) เมื่อเทียบกับประเทศอื่น รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน
ในเชิงปริมาณ เรามีประชากรที่ลดลงทุกปี อัตราเกิดใหม่ต่ำ และสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลงต่อเนื่อง ในเชิงคุณภาพ เรามีระบบการศึกษาที่ถดถอย และคนวัยทำงานที่ยังมีช่องว่างทางทักษะหลายด้าน ดังนั้น หากประเทศไทยเราต้องการแข่งขันกับโลกได้ หรือเพียงแค่ประคองตนให้ไม่โตช้ากว่าในอดีต โจทย์สำคัญที่สุดของรัฐบาล คือการยกระดับ “ทักษะ” (skills) หรือ “ผลิตภาพ” (productivity) ของคนวัยทำงาน
นายพริษฐ์ ระบุว่าเมื่อวันก่อน ได้มีโอกาสเข้าพบกับผู้บริหารของ SkillsFuture ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่ประเทศเขาใช้ในการยกระดับทักษะมากว่า 10 ปี โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เฉลี่ยปีละประมาณ SGD 600-800 ล้าน (หรือคิดเป็นประมาณปีละ 15,000-20,000 ล้านบาท) แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับแนวคิดของสิงคโปร์ ไม่ใช่เรื่อง “ปริมาณ” การลงทุน แต่คือ “วิธีการ” หรือ “กลไก” การลงทุน ที่พยายามทำให้งบประมาณที่รัฐใช้ในการยกระดับทักษะ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากที่สุด
1. รัฐไม่เลือกคิดแทนประชาชน ทั้งหมดว่าควรจะเรียนหรืออบรมคอร์สใด แต่รัฐใช้วิธีการให้ “เครดิต” กับประชาชน (เช่น 12,500 บาทเมื่อปี 2015 / 12,500 บาทเมื่อปี 2020) เพื่อให้ประชาชนเลือกเองว่าอยากจะเรียนหรืออบรมคอร์สใด ในบรรดาคอร์สต่างๆที่เข้าร่วมโครงการ โดยรัฐจะอุดหนุนให้กับผู้ผลิตคอร์สเพิ่มเติมตามจำนวนคนที่เลือกใช้เครดิตมาเรียนกับคอร์สดังกล่าว - การออกแบบกลไกลักษณะนี้ มาจากฐานความคิดว่าเมื่อปล่อยให้กลไกตลาดเข้ามาทำงาน ผู้เรียนมีแนวโน้มจะเลือกเรียนคอร์สที่มี “คุณภาพ” กล่าวคือคอร์สที่สามารถเพิ่มทักษะที่ทำให้เขามีโอกาสเพิ่มขึ้นในการหางานหรือมีรายได้สูงขึ้นได้จริง
2. บทบาทสำคัญของรัฐคือการ “คัดกรอง” คอร์สที่ประชาชนสามารถนำเครดิตไปใช้ได้ - ในมุมหนึ่ง รัฐไม่ได้ปล่อยเสรีถึงขั้นที่ให้ประชาชนสามารถนำ “เครดิต” ไปใช้กับคอร์สอะไรก็ได้ที่มีอยู่ตามตลาด แต่รัฐจะวางกรอบเบื้องต้น ว่าต้องการเน้นคอร์สที่มุ่งเป้าไปกับการพัฒนาทักษะด้านอะไร ไม่ว่าจะเป็นทักษะพื้นฐานที่อาจเป็นประโยชน์กับทุกอาชีพ หรือ ทักษะเชิงลึกที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต - ทีมที่สำคัญที่สุดทีมหนึ่งขององค์กร SkillsFuture ของรัฐ คือทีม “Skills Intelligence” ที่มีหน้าที่วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลตลาด (เช่น ฐานข้อมูลจากเว็บไซต์การหางานในประเทศ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญเกี่ยวกับทักษะเป้าหมาย
3. แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อคัดกรองทักษะเป้าหมายแล้ว จำนวนผู้ผลิตคอร์สและคอร์สที่ประชาชนนำ “เครดิต” ไปเรียนได้ ก็ต้องมีความหลากหลายมากพอ ที่จะก่อให้เกิดการแข่งขัน (ลองจินตนาการว่าหากเครดิตที่รัฐให้ สามารถนำไปใช้เรียนได้กับแค่ไม่กี่คอร์ส ก็จะแทบไม่ต่างอะไรกับการที่รัฐคิดแทนประชาชนว่าควรเรียนคอร์สไหน) - ทางผู้บริหาร SkillsFuture แชร์ว่า ณ ปัจจุบัน เครดิตของโครงการสามารถนำไปใช้ได้กับคอร์สประมาณ 20,000+ คอร์ส จากผู้ผลิดคอร์ส 300-400+ ราย ซึ่งผสมผสานทั้ง สถาบันอุดมศึกษา ผู้ให้บริการฝึกอบรมภาคเอกชน และบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการฝึกพนักงานในองค์กรตนเองด้วยอยู่แล้ว (เช่น Microsoft Apple IBM UOB)
4. อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือทาง SkillsFuture ได้เริ่มเปิดทางเลือกให้ประชาชนสามารถนำเครดิตไปใช้เรียนในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับโลกได้บางแห่ง (เช่น coursera) โดยมี่เงื่อนไขว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะต้องมีการจัดตั้งนิติบุคคลในสิงคโปร์
5. แม้ประชาชนสามารถนำเครดิตที่ใช้ไม่หมด ทดไปเรียนข้ามปีได้หลายปี แต่ตัวคอร์สที่ประชาชนนำเครดิตไปใช้เรียนได้ จะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เท่าทันกับความต้องการใหม่ๆของตลาด - ทางผู้บริหาร SkillsFuture แชร์ว่าเมื่ออนุมัติคอร์สหนึ่งให้สามารถนำเครดิตไปใช้เรียนได้แล้ว อายุของการอนุมัติแต่ละครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี - หากเลยห้วงเวลาดังกล่าวไป ก็ต้องมาทบทวนอีกทีว่าคอร์สดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสมควรจะให้ประชาชนนำเครดิตไปใช้เรียนได้อยู่หรือไม่
6. เมื่อมีระบบ SkillsFuture แล้ว รัฐบาลสามารถออกแบบ “โครงการ” หรือรูปแบบการอุดหนุนที่แตกต่างกันระหว่างประชาชนแต่ละกลุ่มได้ - เช่น เมื่อปี 2020 ทางรัฐบาลมีการเพิ่มเครดิตให้กับประชาชนในช่วงอายุ 40-60 ปี เป็นการเฉพาะ เพิ่มเติมอีก 12,500 บาท เพื่อพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนในช่วงกลางของอายุการทำงาน (mid-career) ที่อาจต้องการยกระดับทักษะเพื่อทะยานสู่ตำแหน่งผู้บริหาร เปลี่ยนสายอาชีพ หรือเรียนรู้การนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการทำงาน
7. อีกแนวโน้มหนึ่งที่สิงคโปร์เริ่มขยับ (ซึ่งสอดคล้องกับที่โครงการ Prakerja ของอินโดนีเซียเคยแชร์กับผมเมื่อปีก่อน) คือการปรับจากการอุดหนุนเครดิตให้กับประชาชนทั่วไป หรือ “ผู้เรียน” ไปเป็นการอุดหนุนเครดิตให้กับ “ผู้ประกอบการ” หรือ “ผู้ว่าจ้าง” โดยเฉพาะ SMEs ที่สามารถนำเอาเครดิตดังกล่าวไปยกระดับทักษะพนักงานในองค์กรตนเองได้โดยที่ SME ไม่ต้องเป็นคนจ่ายเอง ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับทักษะพนักงานที่ทำงานอยู่ที่องค์กรอยู่แล้ว (in-service traning) หรือการส่งพนักงานใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำงาน ไปยกระดับทักษะบางด้านเพิ่มเติมก่อนมาเริ่มงาน (pre-service training)
8. นอกเหนือจากการเรียนหรือการอบรม ทาง SkillsFuture ยังพยายามสร้างระบบนิเวศที่อำนวยความสะดวกและส่งเสริมอนาคตแรงงาน เช่น กลไกการแนะแนวคอร์สและอาชีพ การเก็บสะสมและบันทึกประสบการณ์ทำงานและการอบรม (skills passport) รวมถึงการจับคู่หางาน / อีกบริการหนึ่งที่ผมได้สอบถาม แต่ทาง SkillsFuture ยังไม่มี คือการจับคู่ผู้ฝึกอบรมกับแหล่งเงินทุน (เช่น การอำนวยความสะดวกให้คนที่เรียนจบและผ่านการอบรมด้านทักษะผู้ประกอบการ ให้สามารถเข้าถึงโอกาสในการสมัครขอแหล่งเงินทุนพิเศษในการเริ่มต้นกิจการได้)
9. ความท้าทายที่สุดที่ SkillsFuture ยอมรับว่ายังไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์แบบ คือการ “ประเมิน” ความสำเร็จของโครงการ - แม้ว่าทาง SkillsFuture มีการเก็บข้อมูลเรื่องสถิติการเรียน รวมถึงความพึงพอใจของผู้เรียนต่อคอร์สต่างๆ แต่เขายอมรับว่าการไล่เก็บข้อมูลอลย่างเป็นระบบ ว่าคนที่ใช้เครดิต SkillsFuture แล้ว มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ หรือ หางานได้เร็วขึ้นหรือไม่ ยังเป็นช่องว่างที่เขายังคงหาทางเติมเต็ม เพื่อสามารถตอบโจทย์ในภาพใหญ่ได้อย่างมั่นใจ ว่าโครงการเขายกระดับทักษะคนในประเทศได้แค่ไหน
10. หัวใจสำคัญของ SkillsFuture คือการที่รัฐเลือกที่จะไม่วางบทบาทตนเองเป็น “ผู้ดำเนินการ” (operator) หรือ “ผู้ฝึก” (trainer) แต่เลือกวางบทบาทตนเองเป็น “ผู้กำกับมาตรฐาน” (regulator) หรือ “ผู้อำนวยความสะดวก” (faciliator) ให้แรงงานที่ต้องการการยกระดับทักษะ และผู้ให้บริการที่พร้อมผลิตคอร์สอบรมทักษะ สามารถพบหากันเจอ โดยเปืดให้เกิดการแข่งขันตามกลไกตลาด ที่รัฐหวังว่าจะนำไปสู่การยกระดับทักษะมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน
นายพริษฐ์ ระบุอีกว่า เป็นเรื่องประจวบเหมาะพอดี ที่ 1 วันหลังจากที่บินกลับมาจากสิงคโปร์ ทางคณะอนุกรรมาธิการจัดทำข้อเสนอในการยกระดับทักษะคนไทย เราได้ประชุมนัดแรกเพื่อเดินหน้าทำงานในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายให้เสร็จภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นสารตั้งต้นให้พรรคการเมืองนำไปพิจารณาได้ในการพัฒนานโยบายสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
"นอกเหนือจากผม และเพื่อนๆ สส. (ละออง ติยะไพรัช / สหัสวัต คุ้มคง / ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์) ที่มาร่วมภารกิจดังกล่าว ผมต้องขอขอบคุณอนุกรรมาธิการผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่นๆจากภาควิชาการและภาคเอกชน (สมชัย จิตสุชน / นพ. สุภกร บัวสาย / แบ๊งค์ งามอรุณโชติ / กิริยา กุลกลการ / กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร / สพล ตัณฑ์ประพันธ) ที่ตอบรับคำเชิญและสละเวลามาร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ซึ่งผมหวังว่าจะส่งผลสำคัญต่ออนาคตประเทศ ผมจะคอยอัปเดตการทำงานของ อนุฯ Upskill Reskill เรา ผ่านช่องทางนี้เรื่อยๆครับ" นายพริษฐ์ ระบุ
ภาพและข้อมูลจาก พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu







