จับตาการเมืองก่อนเลือกตั้ง กระแสพรรคไม่ใช่ตัวตัดสิน

จับตาการเมืองก่อนเลือกตั้ง กระแสพรรคไม่ใช่ตัวตัดสิน

หลัง “หนิม-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ ก้าวขึ้นสู่หัวหน้าพรรคคนที่ 9 ของเพื่อไทย แบบไม่มีอะไร “เซอร์ไพรส์” ทั้งยังเป็นคนที่ตระกูลชินวัตร ไฟเขียวมานั่งเก้าอี้ใหญ่ตัวนี้ด้วย

สถานการณ์ทางการเมือง จึงไม่น่าจะมีอะไรใหม่ไปกว่านี้อีกแล้ว รอก็แต่ยุบสภาฯภายใน 4 เดือน และมีการเลือกตั้งใหม่ ในช่วงต้นปี 2569

สำหรับ “หนิม-จุลพันธ์” ปัจจุบันอายุ 50 ปี เป็นบุตรชายของ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับ นางเพ็ชรี (เตชะไพบูลย์) อมรวิวัฒน์

จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ (MBA) จากวิทยาลัยบอสตัน(Boston University) สหรัฐอเมริกา

ชีวิตครอบครัว สมรสกับ วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ หรือ “ยิ้ม” สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของวิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีตสส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยเช่นกัน มีบุตรสาว 1 คน

“จุลพันธ์” เริ่มเข้าสู่การเมืองในปี 2548 กับพรรคไทยรักไทย ก่อนย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชน และต่อมาคือพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องถึง 5 สมัย เป็นหนึ่งในนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เติบโตจากสนามเลือกตั้งจริง

สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เขาได้รับความไววางใจให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเป็น ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (ดิจิทัลวอลเลต) ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของพรรค

“จุลพันธ์” กล่าวถึงแนวทางของพรรคว่า วันนี้เราพร้อมที่จะยกเครื่อง อย่างแรกคือ การสื่อสารกับประชาชนจะต้องรวดเร็วทันการณ์ และตรงถึงประชาชนอย่างทันท่วงที ในส่วนผู้สมัครเข้าสู่การเลือกตั้ง ต้องมีคุณภาพตรงกับความต้องการของประชาชน

ด้านนโยบายเราต้องย้อนกลับไปยังนโยบายที่ถูกใจ และสามารถตอบโจทย์ของประชาชนได้ วันนี้เรากำลังเดินหน้าภารกิจเหล่านั้น นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย แต่ตนไม่ได้อยู่คนเดียว มีพวกเราที่อยู่ในห้องนี้ทุกคนเป็นกำลัง

“จุลพันธ์” กล่าวด้วยว่า มีความเชื่อมั่นว่า ยังมีประชาชนอีกนับ 10 ล้านคนที่จะคอยเป็นกำลังผลักดันให้กับพรรคเพื่อไทย ในการเดินหน้านำพาพรรคเพื่อไทยไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลในครั้งถัดไปให้ได้

แต่ถึงกระนั้น ปัญหาใหญ่ ที่ “จุลพันธ์” จะต้องเร่งแก้ไข คือ เรื่องGeneration Gap (ช่องว่างระหว่างวัย) กรณีสส. อดีตสส. ที่เคยร่วมงานกันมาไม่ได้รับการเหลียวแล ต่างกับนักการเมืองรุ่น Young Blood (คนหนุ่มสาว) ที่เล่นกับกระแสโซเชียลได้ กลับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี รวมถึงตำแหน่งทางการเมืองที่คนในพรรครู้สึกว่า ถูก “ข้ามหัว” เกิดขึ้น เรื่องนี้แม้แต่ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” บิดาของ “จุลพันธ์” ก็ได้สะท้อนให้เห็น ขณะแถลงลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย  

ยิ่งกว่านั้น หลัง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องมาจากคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” กรณีคลิปสนทนากับ “สมเด็จฮุน เซน” และกรณีทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับไปรับโทษ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา กรณีถูกร้องป่วยทิพย์ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

สถานการณ์ “ส.ส.ถูกดูด” หรือ “เลือดไหลออก” ของพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนเป็นอีกเรื่องที่ถูกจับตามอง โดยเฉพาะที่ไหลไปร่วมกับภูมิใจไทย ซึ่งถ้า “จุลพันธ์” ห้ามเลือดไม่ได้ โอกาสที่จะกอบกู้พรรคเพื่อไทยขึ้นมาจากจุดตกต่ำ ถือว่ายากมาก

อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึงแต่ละพรรคการเมือง อาจมีพรรคการเมืองสองพรรคเท่านั้น ที่พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง คือ พรรคประชาชน ที่เชื่อมั่นในกระแสนิยมพรรคตัวเองและคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่น และพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในเวลานี้เนื่องจากได้เปรียบในการกุมอำนาจรัฐไปจนถึงช่วงรัฐบาลรักษาการในการเลือกตั้ง นอกนั้น ต้องเร่งกับเวลา เพื่อปรับทัพให้ทันต่อการเลือกตั้ง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด พรรคเพื่อไทยที่แม้จะเป็นพรรคใหญ่สุดก็ว่าได้ แต่ก็เพิ่งได้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ทั้งยังมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องเร่งแก้ไข

พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งได้ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมานำพรรค ก็ถือว่าเร็วเกินไป กับการเตรียมการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่า จะเป็นพรรคใหญ่และเก่าแก่ที่สุด รวมทั้ง การได้ “อภิสิทธิ์” มานำทัพต่อสู้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา    

ความจริงพรรคที่ว่าพร้อม เอาเข้าจริงอาจไม่เป็นไปตามที่คาดคิดก็เป็นได้ อย่าง พรรคประชาชน ที่กระแสแรงต่อเนื่อง นับแต่การเลือกตั้งปี 2566 จากอานิสงส์ความต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ รวมถึงกระแส “เบื่อประยุทธ์” เบื่อนักการเมืองรุ่นเก่า การเมืองแบบเก่า

แต่ปัจจุบัน พรรคประชาชน ต้องสู้รบกับกระแสชาตินิยม กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เนื่องเพราะท่าทีที่เป็นลบต่อ “กองทัพ” รวมทั้งการออกมาโจมตีบทบาทของกองทัพต่อการสู้รบไทย-กัมพูชา โดยเห็นว่า เป็นบทบาทการเมือง ไม่ใช่การทหาร อันสวนทางกับกระแสประชาชน  

ประเด็นต่อมา ที่พรรคประชาชน จะต้องต่อสู้อย่างหนักก็คือ การลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งอาจมีผลต่อการเลือกตั้งที่มีการลงคะแนนพร้อมกันด้วย อย่าลืมว่า แนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ต้องการแก้ไขทั้งฉบับ และไม่เว้นหมวด 1 และ2 ซึ่งเป็นหมวดเกี่ยวกับความเป็นรัฐ และพระมหากษัตริย์ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหันมาดูกระแสความนิยมพรรค ไม่ว่า กระแส “คนรุ่นใหม่” กระแส “เบื่อประยุทธ์”  และกระแสต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้องยอมรับว่า ในการเลือกตั้งปี 2569 กระแสเหล่านี้จะไม่เหมือนเดิม     

ดังนั้น คำว่า “พร้อมเลือกตั้ง” ก็อาจเป็นแค่การประเมินจากความได้เปรียบที่ไม่เคยเป็นรัฐบาล ไม่มีบาดแผลในด้านผลงานเท่านั้น

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย เป็นที่ทราบกันดีว่า มีบ้านใหญ่ไหลเข้าสังกัดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแรงดึงดูดส.ส.และอดีตส.ส.เข้าพรรคจนน่าจับตามอง แต่การเข้ามาบริหารประเทศในช่วง 4 เดือน ท่ามกลางความคาดหวังสูง ก็อาจมีผลต่อกระแสความนิยมตามไปด้วย ยิ่งถ้าผลงานไม่เข้าตาประชาชน ก็ยิ่งได้รับผลกระทบเหมือนพรรคที่เคยเป็นรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีการวิเคราะห์การต่อสู้ทางการเมืองเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เข้าสู่ยุคสามขั้วอำนาจที่ชัดเจนคือ แดง (เพื่อไทย), ส้ม (ประชาชน), น้ำเงิน (ภูมิใจไทย)

ขณะเดียวกัน เมื่อเจาะลึกลงไปในแต่ละขั้วอำนาจ พบว่า เพื่อไทย (แดง) จากที่เคยเป็นพรรคเสาหลักการเมืองไทยเวลานี้ กำลังเผชิญวิกฤตความเชื่อมั่น “หุ้นดิ่ง” จากความสับสนภายใน และกระแส “หมดเสน่ห์ชินวัตร” จนประเมินกันว่า อาจเหลือ ส.ส.ไม่ถึง 100 ที่นั่ง หากไม่สามารถปรับยุทธศาสตร์ก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้งได้ทันเวลา

ประชาชน (ส้ม) เวลานี้กำลังเจอแรงเสียดทานจากคำว่า “ฝ่ายค้านที่ไม่ค้ำ” ภาพลักษณ์พลิกจากพลังท้าทายระบบสู่ความคลุมเครือทางจุดยืน แม้รักษาฐานเสียงเมืองใหญ่ได้ระดับหนึ่ง แต่แนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังการโหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี

ภูมิใจไทย (น้ำเงิน) ในขณะที่สองขั้วใหญ่สะดุด พรรคภูมิใจไทยกลับ “หุ้นพุ่งชนเพดาน” ด้วยพลังดูดทางการเมืองที่ต่อเนื่อง ฐานเสียงชนบทและนักการเมืองท้องถิ่นหลั่งไหลเข้าร่วม เป้าหมาย 120 ที่นั่งเริ่มเข้าใกล้ความจริง ส่งสัญญาณชัดว่า พรรคพร้อมขึ้นแท่นแกนนำรัฐบาล

ที่น่าสนใจอีกอย่าง ก็คือ การเปรียบเทียบ ระหว่าง ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 กับ เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในปี 2569

  • พรรคประชาชน (ส้ม) ปี2566 ได้ 151 ที่นั่ง ตั้งเป้าเอาไว้ปี 2569 ได้ 250 ที่นั่ง
  • พรรคเพื่อไทย (แดง) ปี 2566 ได้ 141 ที่นั่ง ปี2569 ตั้งเป้าเอาไว้ 200+
  • พรรคภูมิใจไทย (น้ำเงิน) ปี 2566 ได้ 70 ที่นั่ง ปี 2569 ตั้งเป้าเอาไว้ 120+

มาถึงการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2569

จากสถานการณ์ขณะนี้ แม้พรรคประชาชนตั้งเป้าโตถึง 250 ที่นั่ง แต่ฝ่ายตรงข้ามประเมินว่า จะเหลือไม่ถึง 100 ที่นั่ง ขณะที่เพื่อไทย เผชิญแรงกดดันภายใน ส่วนภูมิใจไทยกลับขยายฐานได้ทั่วทุกภูมิภาค ทำให้สมการการจัดตั้งรัฐบาลมีได้หลายสูตรตามน้ำหนักของตัวเลขหลังเลือกตั้ง

  • สูตรที่ 1 น้ำเงิน + ส้ม (แดงเป็นฝ่ายค้าน)

เป็นการจับมือกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับประชาชน อาจสร้างสมดุลระหว่างพรรคใหม่กับพรรคที่มีเครือข่ายเก่า เหมาะกับสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยอ่อนแรง แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องจุดยืนทางอุดมการณ์

  • สูตรที่ 2 แดง + ส้ม (น้ำเงินเป็นฝ่ายค้าน)

สูตรนี้ ถือว่าอดีตพันธมิตรกลับมาร่วมกัน คือ “เพื่อไทย-ประชาชน” แต่ความบาดหมางหลังปี 2566 ทำให้สูตรนี้ “เกิดยากที่สุด” เว้นแต่เกิดแรงกดดันจากภายนอกให้จับมือเพื่อกันขั้วน้ำเงินขึ้นนำ

  • สูตรที่ 3 น้ำเงิน + แดง (ส้มเป็นฝ่ายค้าน)

สูตรนี้ ถูกมองว่า “มีโอกาสมากที่สุด” โดยภูมิใจไทยเป็นแกนนำจับมือเพื่อไทยในบทพรรคร่วม เสถียรภาพสูงและต่อรองได้ในเชิงนโยบายหากเพื่อไทยมี ส.ส. ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง และจะเป็น “สูตรอำนาจสมดุล” ที่เกิดขึ้นจริงได้มากที่สุด

เหนืออื่นใด สิ่งที่เลิกพูดถึงได้เลยก็คือ กระแสความนิยมพรรคการเมือง ตัดสินผล “แพ้-ชนะ” เลือกตั้ง เหมือนการเลือกตั้งปี 2566 หากจะมีก็แต่ กระแสชาตินิยม ที่ไม่น่าจะหมดลงง่ายๆ ส่วนจะเข้าทางพรรคใดหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง