รมช.กห. ชี้ โอกาสสุดท้าย ไทย-กัมพูชา หากไม่ทำ4ข้อ ให้คอยดู อะไรจะเกิดขึ้น

รมช.กห. ชี้ โอกาสสุดท้าย ไทย-กัมพูชา หากไม่ทำ4ข้อ ให้คอยดู อะไรจะเกิดขึ้น

รมช.กห. ลั่น เป็นโอกาสสุดท้าย ไทย-กัมพูชา หากไม่ปฏิบัติ4ข้อ ให้คอยดู อะไรจะเกิดขึ้น ยัน ถอนอาวุธพร้อมพลประจำปืน ยกเว้น กำลังรบ รับ ทหารมีกรรม รับศึกหลายด้าน

31 ต.ค. ที่สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหารือระหว่างกองทัพบก ไทย-กัมพูชา ว่า วันนี้กองทัพภาคที่ 2 ของไทย ได้เดินทางไปพูดคุยกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติ ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ ในกรอบของรัฐบาล

ขณะที่กองทัพบกก็มอบให้กองทัพภาคที่2หารือ 4 ประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการขนย้ายอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งจะดำเนินการเป็น 3 เฟส เริ่มจากการถอนอาวุธประเภทจรวดและปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรขึ้นไป ภายในระยะเวลา 21 วัน โดยจะมีคณะผู้แทนจากทั้งสองฝ่าย หรือ คณะผู้แทนอาเซียน (AOT) ไปตรวจสอบว่าทําตามข้อตกลงหรือไม่ และหากดําเนินการแล้ว จะมีรายละเอียดออกมาทั้งหมดว่าได้ถอนอะไรไปแล้วบ้าง และอยากให้เชื่อมั่นว่าทหารก็ทําตามนี้ หากไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทําอย่างไร

เมื่อถามว่า ประชาชนไม่ได้ไม่เชื่อมั่นทหารไทยแต่ไม่เชื่อมั่นฝ่ายกัมพูชา พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ต้องเชื่อ เพราะเป็นโอกาสสุดท้าย ที่เราจะคุยกัน ตนยืนยันได้เลยว่า ถ้าคุยกันในระดับนี้แล้ว หากไม่ทําก็ไม่มีทางอื่น

เมื่อถาม หากฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามจะดําเนินการอย่างไร พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ให้คอยดู ตนก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อคุยกันในระดับรัฐบาล ลงไปถึงระดับแม่ทัพภาค ในการกําหนดขั้นตอนการถอนอาวุธ ที่มีอานุภาพร้ายแรงสูง สำหรับเฟสที่ 2 จะเป็นการถอนอาวุธที่มีอานุภาพลดหลั่นลงมา และเฟสที่ 3 จะครอบคลุมถึงการถอนรถถัง ซึ่งจำนวนและขั้นตอนกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับแม่ทัพภาคที่ 2

ทั้งนี้ รมช.กลาโหม ยืนยันชัดเจนว่า ไม่มีการเปิดด่านแน่นอน ไม่ต้องกลัว  หลังจากการถอนอาวุธแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะต้องประเมินร่วมกันอีกครั้งว่า ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันได้สิ้นสุดลงจริงหรือไม่ เพื่อก้าวสู่ความร่วมมือและสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน

เมื่อถามว่าในส่วนของกําลังทหาร จะปรับลดลงไปด้วยหรือไม่ 
พลโท อดุลย์ กล่าวว่า อาวุธจะมีพลประจําปืน หากถอนอาวุธก็ต้องปรับลดคนไปด้วย ก็ไปพร้อมกัน แต่ไม่เกี่ยวกับกําลังรบหลักทหารม้าหรือทหารราบ พร้อมทั้งย้ําว่า การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ มีขั้นตอน การจัดเก็บ ซึ่งการขนย้ายก็ต้องอิงกับระเบียบราชการ ไม่เช่นนั้น ก็จะหาว่าไปแอบ ต้องมีการจ้างเหมา ถ้ามีรถอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าเกินไปจากนี้ ก็ต้องจ้างของเอกชนเข้ามา

เมื่อถามว่ากองทัพรับศึกหลายด้านนอกจาก ต่างประเทศแล้วยังมีภายในประเทศด้วย พลโท อดุลย์ กล่าวว่า อาชีพทหารมีกรรม