'เอ็มโอยู 43' ฉบับเร่งด่วน กต.เคลียร์ก่อน'ลงประชามติ'

'เอ็มโอยู 43' ฉบับเร่งด่วน กต.เคลียร์ก่อน'ลงประชามติ'

ตอนนี้สังคมไทยกำลังมีประเด็น MOU ให้ถกเถียงไม่ใช่แค่เรื่องแรร์เอิร์ธที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ แต่เป็นฉบับที่ถกเถียงกันมานานแล้ว นั่นคือ MOU 43 ที่แว่วๆ ว่าสุดท้ายแล้วประชาชนอาจต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะให้อยู่หรือไป

ในกรณีนี้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำคัญที่สุด ภารกิจใหญ่จึงหนีไม่พ้นกระทรวงการต่างประเทศ จัดซีรีส์ให้ข้อมูลสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ MOU 43 และ MOU 44 โดย เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นำทัพบรรยายสรุปแก่สื่อมวลชน เปิดฉากที่ MOU 43

Q: สถานะของ MOU

A: MOU คืออะไรกันแน่เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากมาย  ตอบเร็วๆ ได้เลยว่าเป็น “สนธิสัญญา” เพราะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือมีเจตนารมณ์ ทำเป็นลายลักษณ์อักษร และอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ครบตามเงื่อนไข ส่วนจะเรียกว่าสนธิสััญญา อนุสัญญาก็แล้วแต่ ตัวอย่างเช่น สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการแบ่งเขตแดน อันหนึ่งเรียกอนุสัญญา อันหนึ่งเรียกสนธิสัญญา

MOU ฉบับนี้ทำขึ้นในปี 2543 (ค.ศ.2000) ตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาค่อนข้างดี กัมพูชาเริ่มเข้าอาเซียน ก่อนหน้านั้นมีการปักปันเขตแดนอยู่แล้ว 74 หลัก ซึ่งเราคิดว่าเพียงพอแล้ว แต่ถึงเวลาจะใช้จริงกลับใช้งานไม่ได้เพราะเก่าเกินร้อยปี สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจว่าน่าจะทำแผนที่ที่ใช้งานได้จริงร่วมกัน นำมาใช้แทนแผนที่เจ้าปัญหาที่เราเรียกกันว่า แผนที่ 1:200,000 

Q: แผนที่ 1: 200,000 เจ้าปัญหาจริงหรือ

A: ไอเดียของแผนที่ 1: 200,000 มาจากในการทำสนธิสัญญาฉบับหนึ่ง เช่น 1904 หรือ 1907 จะใช้ถ้อยคำพรรณนาว่า เขตแดนไทยเริ่มจากจุดไหนเป็นหลัก เล็งไปตามสันเขาหรือแม่น้ำไหน ซึ่งถ้าไม่ใช่คนพื้นที่จะนึกภาพไม่ออก  MOU ฉบับนั้นก็เลยกำหนดว่า ให้มีข้าหลวงไปปักปันเขตแดนเพื่อสเก็ตช์ภาพมาเป็นแผนที่ 1:200,000

"ซึ่งในสมัยนั้นน่ะ เป็นวิทยาการที่ถือว่าล้ำที่สุดแล้ว มีที่ทำได้เก่งจริงๆอยู่แค่สองสองเจ้าคืออังกฤษกับฝรั่งเศส"

พอมาถึงปี 43 ก็ออกมาในลักษณะของ MOU คือเป็นกรอบความตกลงว่าจะไปคุยกันเพื่อให้ได้ผลผลิตบางอย่าง นั่นคือแผนที่ที่ใช้การได้จริง

Q: เนื้อหาของ MOU มีอะไรบ้าง

A: เวลาจะวางกรอบอะไรบางอย่างเราก็ต้องคิดก่อนว่าจะใช้เอกสารอะไร มีกลไกยังไงและก็มีกฎเกณฑ์อะไรจิปาถะบ้าง MOU นี่ก็คล้ายกันคือข้อหนึ่งกำหนดถึงเอกสารที่จะใช้ ได้แก่ สนธิสัญญา (1904,1907), แผนที่ ซึ่งก็คือแผนที่ 1:200,000 แต่ไม่ได้ระบุไว้เพราะเผื่อจะมีแผนที่อื่นๆ ที่เก็บไว้ตามหอจดหมายเหตุต่างๆ ได้อีก และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บันทึกวาจาบอกรายละเอียดของแต่ละหลักเขต ซึ่งมีอยู่ 74 ชุดบอกรายละเอียดเช่น หลักเขตอันนี้องศาหันไปทางไหน มีภูเขาลูกนั้นลูกนี้อยู่ระหว่างหมู่บ้าน และมีแผนที่ชุดเล็กบอกระวางประมาณ 1:500 เป็นฟิล์มสเก็ตแนบท้ายอีก 74 ชุด ทั้งหมดเป็นเอกสารที่ต้องใช้ประกอบ

ส่วนกลไกที่ใช้ก็คือ JBC ขั้นตอนที่กำหนดในเอ็มโอยูมีห้าขั้นตอน เริ่มต้นจากการสำรวจว่า 74 หลักแรกอยู่ตรงไหนบ้าง ขั้นตอนนี้เสร็จแล้ว ไทย-กัมพูชาเห็นตรงกัน 45 หลัก เห็นไม่ตรงกัน 29 หลัก ขั้นต่อไปคือทำ LiDAR สำรวจพื้นที่จริง ทำแผนที่ ซึ่งจะรวมอยู่ในห้าข้อนี้ โดยข้อสามพูดถึง Joint Technical Subcommission (JTSC) ซึ่งก็คือผู้ปฏิบัติงานจริงมีเจ้ากรมแผนที่ทหารเป็นประธาน 

"พวกนี้จะหนักคือต้องลงพื้นที่เดินสำรวจจริงๆในป่า"  และมีข้อกำหนดด้วยว่าก่อนลงไปต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้วย และข้อห้าที่สำคัญก็คือ “ไม่ให้ไปเปลี่ยนแปลงภูมิสภาพภูมิประเทศ”

Q: ความสำคัญของ LiDAR

A: หลักการของสนธิสัญญาต้องดูสามอย่างประกอบกันคือ บันทึกวาจา แผนที่ และหลักเขต  สนธิสัญญาให้หลักการเอาไว้ว่าเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเนี่ยให้เป็นไปตามสันปันน้ำ เป็นไปตามเส้นตรงและเป็นไปตามลำน้ำ เพราะฉะนั้นหลักสำคัญถึงต้องใช้ LiDAR ก็คือไปหาสันปันน้ำ 

เทคโนโลยี LiDAR เป็นการยิงเลเซอร์แล้วสะท้อนกลับมาให้ภาพสามมิติ เห็นเลยว่าจุดใดเป็นสันปันน้ำสามารถปักหลักเขตได้เลย ความแปรผันแค่ 1-2 นิ้ว ถือเป็นเทคโนโลยีที่ดีมาก นอกจากนี้ในข้อห้ายังกล่าวด้วยว่าไม่ให้เปลี่ยนแปลงภูมิประเทศเพราะการขุดในพื้นที่อาจทำให้สันปันน้ำหายไป

 “เพราะฉะนั้นตอนที่เรายิงกันใหม่ใหม่เนี่ยถึงได้บอกให้กลบให้คูเลตหรือหลุมเพลาะเพราะว่าเขาทำผิดหลักเกณฑ์ไงครับซึ่งที่สุดเขาก็ยอมกลบนะเพราะเขาก็รู้ว่าทำผิด” 

ข้อหก-เจ็ด เป็นเรื่องพิธีการศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทีมที่ลงพื้นที่ ข้อแปดเป็นกลไกระงับข้อพิพาท กรณีมีความขัดแย้งให้สองฝ่ายไปคุยกันโดยไม่ได้พูดถึงคนอื่นเลย

 "เราก็เกาะสิ่งนี้มาตลอดใช่มั้ยฮะว่าอ้าว! ก็ในเมื่อความตกลงน่ะสองฝ่ายเขียนไว้ชัดว่าถ้ามีอะไรก็สองคนคุยกันแล้วคุณจะยกไปที่ศาลทำไมใช่มั้ย" 

แม้กระทั่งศาลก็ยอมรับเรื่องนี้ ตอนคดีปราสาทพระวิหารศาลย้ำว่าตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาไม่มีใครเถียง แต่เรื่องเส้นแบ่งเขตแดนสองประเทศต้องกลับไปคุยกันเพราะมีกลไกนี้อยู่แล้ว

สรุป MOU 43 มีแค่นี้จริงๆ ไม่มีการพูดเรื่องแบ่งอำนาจอธิปไตยเลยพูดเพียงแค่ว่าเอาไปทำแผนที่ให้จบนะ  ผลสุดท้ายของกระบวนการ MOU 43 คือแผนที่ที่ทำเสร็จแล้วซึ่งต้องนำไปลงนาม ก็ต้องนำเข้า ครม.และสภา

Q: ข้อเสียของ MOU43

A: ข้อเสียอยู่ที่ความคิดของสาธารณชนที่ว่า ใช้เวลานาน การเป็นความตกลงทวิภาคีเมื่ออีกฝ่ายไม่ทุ่มใจมาให้ก็ไม่สำเร็จ เปรียบเทียบกับเขตแดนด้านอื่นๆ ที่ไทยมีกับมาเลเซีย  เมียนมา ลาว สี่ประเทศไม่จบเลยสักประเทศ แต่ละด้านใช้เวลาเกิน 40 ปีทั้งสิ้น แต่มาเลเซียทำไปได้ถึง 99% ขาดเพียงสองหลักสุดท้าย กรรมวิธีไม่แตกต่างกับที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ด้านลาวสำเร็จไปกว่า 96%

ความชัดเจนเรื่องเขตแดนช่วยเรื่องเศรษฐกิจสังคมการค้า การลงทุน ช่วยให้พัฒนาพื้นที่ได้ ยังมีพื้นที่อีกหลายพันไร่ที่ยังไม่ได้พัฒนา

อย่างในยุโรปหลายประเทศสามารถพัฒนาพื้นที่ได้ บางหมู่บ้านหลักเขตพาดกลางหมู่บ้าน ชัดเจนว่าจะเก็บภาษีอย่างไร ทั้งยังสร้างความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนอยากมายืน ณ จุดข้ามแดนสองประเทศ ที่ฝรั่งทำได้เพราะเขาคุยกัน

นั่นคือภาพรวมแบบย่นย่อที่สุดของ MOU 43 เพื่อความเข้าใจอย่างเร่งด่วนโดย อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ  แต่การอธิบายของกระทรวงการต่างประเทศไม่จบแค่นี้ยังมี MOU 44 หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทยอีกหนึ่งฉบับ พูดง่ายๆ MOU 43 เป็นเรื่องเขตแดนทางบก MOU 44 เป็นเรื่องทางทะเล ซึ่งทั้งสองเรื่องต้องทำความเข้าใจอย่างเปิดกว้างด้วยข้อมูลไม่ใช่อารมณ์