กกต.เดดไลน์ส่งคำถามประชามติ ไม่เกิน 28 ม.ค. 69 หวังรวมในบัตรเดียว

กกต.เดดไลน์ส่งคำถามประชามติ ไม่เกิน 28 ม.ค. 69 หวังรวมในบัตรเดียว

กกต.เผยเดดไลน์ส่งคำถามประชามติ รธน.-MOU อย่างช้าไม่เกิน 28 ม.ค. หวังรวมคำถามบัตรเดียว ประหยัดงบ 55 ล้าน ลั่นพร้อมจัดเลือกตั้ง ขอเวลาทำงาน 75 วัน มั่นใจ 5 ทุ่มรู้ผล

KEY

POINTS

  • กกต. กำหนดกรอบเวลาให้ส่งคำถามประชามติอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ 28 ม.ค. 2569 เพื่อให้มีเวลาเตรียมการ 75 วัน หากจะจัดเลือกตั้งพร้อมกับการออกเสียงในวันที่ 29 มี.ค. 2569
  • กกต. ตั้งเป้าที่จะบริหารจัดการให้คำถามประชามติทั้งหมดสามารถรวมอยู่ในบัตรลงคะแนนใบเดียว เพื่อลดความซับซ้อนและป้องกันความสับสนของประชาชน
  • การจัดเลือกตั้งและประชามติในวันเดียวกันมีข้อดีคือช่วยประหยัดงบประมาณ อำนวยความสะดวกให้ประชาชน และคาดว่าจะทำให้มีผู้มาใช้สิทธิ์สูงขึ้น

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2568 ที่โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงประเด็น “การเตรียมการเลือกตั้ง” ว่า กกต.มีความพร้อมจัดเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป และการออกเสียงทำประชามติไม่ว่าจะทำพร้อมกันหรือไม่ ถ้าจัดพร้อมกันก็ใช้หน่วยเดียวกัน โดย กกต.ขอเวลา 75 วัน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทำความเข้าใจ และจัดเวทีแสดงความคิดเห็นของฝ่ายที่เห็นต่าง แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบจำนวนคำถามประชามติ จะส่งผลต่อการบริหารจัดการของ กกต. ทั้งเรื่องจำนวนบัตร กระดานนับคะแนน หากคำถามมาก ก็ใช้กระดานนับคะแนนมาก หากบริหารจัดการดีก็สามารถจัดคำถามให้อยู่ในบัตรเดียวได้ก็จะลดจำนวนกระดานลง

อย่างไรก็ดีขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีคำถามส่งมาให้ กกต.กี่หน้า โดยก็ขอให้พอสมควรเพื่อให้ กกต. เกิดความเข้าใจ และใช้เวลาในการจัดพิมพ์ ให้ความรู้แก่ประชาชนในการตัดสินใจ โดยไม่มีการชี้นำ รวมถึงจัดเวทีให้คนเห็นต่างแสดงความเห็นโดยไม่ชี้นำ กกต.จะต้องรับมือ กับการพูดเรื่องประชามติในเวทหาเสียง และพูดหาเสียงบนเวทีประชามติ จะต้องบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง ควบคู่กับกฎหมายประชามติ

“กกต.ไม่มีปัญหาในเรื่องการจัดการเลือกตั้ง และทำประชามติ ในคราวเดียวกัน แต่ถ้าเป็นไปตามที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย บอกว่าจะมีการเลือกตั้ง 29 มี.ค.2569 กกต.ต้องการเวลาในการให้ความรู้ และเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจ ในประเด็นที่จะมีการทำประชามติทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ MOU กรอบตามกฎหมายกำหนดให้ทำไม่น้อยกว่า 60 วัน แต่ไม่เกิน 150 วัน หากกำหนดที่ 60 วัน กกต.สามารถทำได้ แต่ค่อนข้างเหนื่อย จึงต้องการเวลา 75 วัน นับย้อนจากวันที่จะเลือกตั้งและประชามติ ในวันที่ 29 มี.ค. 2569” นายแสวง กล่าว

นายแสวง กล่าวอีกว่า ตามข่าวคือ มีการประกาศเจตนามรมณ์ของผู้มีอำนาจว่าจะยุบสภาวันไหน ซึ่งก็ต้องนับย้อนขึ้นมา สภาก็ต้องทำคำถามให้เสร็จย้อนขึ้นมา 4-5 เดือน ส่วนประเด็น MOU เพราะเป็นเรื่องที่ ครม. บอกได้เลย ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่รู้ว่ามีกี่คำถาม ถามอะไรบ้าง จึงอยู่ที่ว่าจะยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จวันไหน ตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปตามเวลาที่กำหนดหรือไม่ ถ้าล่าช้า บริหารไม่ดี เวลาตามกฎหมายที่กำหนดให้จัดเลือกตั้ง กับที่กำหนดให้ทไประชามติมีความเหลื่อมกัน กรณีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น อยู่ที่รัฐสภาว่าจะส่งคำถามแรกมาที่กกต.เมื่อไหร่ หากส่งช้า ก็จะกินระยะเวลา 75 วัน และทำให้การออกเสียงประชามติและการเลือกตั้ง สส.ไม่สามารถจัดในวันเดียวกันได้  

เลขาฯ กกต. กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องงบประมาณ ไม่ว่าการเลือกตั้ง หรือประชามติต้องใช้เงินแน่นอน งบฯ ที่ตั้งทุกครั้ง จะใช้จ่ายตามหลักการของกฎหมาย เพื่อความโปร่งใส การมีส่วนร่วม การอำนวยความสะดวก เหตุที่งบฯ สูงเพราะมีจำนวนผู้มีสิทธิเพิ่มเป็น 53 ล้านคน จำนวนหน่วยเลือกตั้งต้องหาใหม่ เพราะมีการเพิ่มการทำประชามติควบคู่ไปด้วย โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนหน่วย จากเดิมมี 9 หมื่นหน่วย รวมถึงต้องมีการเพิ่มวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องมีการเพิ่มเติม จึงต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่กปน. รวมแล้วประมาณ 14 คนต่อหน่วย ทั้งนี้ต้องมีการขานคะแนนพร้อมกัน โดยบัตรสีไหนก็ให้หย่อนที่กล่องสีนั้น แต่หากหย่อนบัตรผิดกล่อง ไม่ถึงเป็นบัตรเสีย แต่ถือเป็นบัตรพลัดหลง สามารถนำไปนับคะแนนได้ โดยตั้งเป้าบริหารจัดการให้จบใน 23.00 น.

อย่างไรก็ดีรวม ๆ แล้วต้องทำงานนานกว่า 17 ชั่วโมง จึงต้องมีการเพิ่มค่าตอบแทนให้ด้วย ฉะนั้นโดยสรุปงบฯกว่า 90% จะลงไปตรงนี้หมด และครั้งนี้กฎหมายให้คนไทยในต่างประเทศออกเสียงประชามติ หากเลือกตั้งพร้อมประชามติ การนับคำแนนนั้นจะแยกกัน โดยบัตรเลือกตั้ง สส. สถานทูตจะต้องส่งกลับมานับที่ประเทศไทย ส่วนบัตรประชามติกฎหมายให้นับที่หน่วยเลือกตั้ง ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศค่อนข้างลำบาก เพราะมีจำนวนคนทำงานที่สถานทูต 30-40 คน เท่านั้น ทั้งนี้จะมีการทดลองทำประชามติ คู่การเลือกตั้งสส. 2 หน่วยว่าจะมีการบริหารจัดการ การใช้เวลานานแค่ไหน   
 
“ข้อดีการออกเสียงพร้อมกัน คือประหยัดงบฯ แน่นอน ไม่เป็นภาระประชาชนมาวันเดียวก็ได้ออกเสียงไปเลย  และอาจจะได้ความชอบธรรมมาด้วย เพราะสถิติการเลือก สส.มีเปอร์เซ็นต์ผู้มาใช้สิทธิ์สูง อย่างครั้งที่แล้วมาใช้สิทธิ์ กว่า 75% ส่วนการเลือกตั้งอย่างอื่น มีผู้มาใช้สิทธิ์ประมาณ 60% เท่านั้น” เลขาธิการ กกต. กล่าว

ส่วนเรื่องการกำหนดวันนั้นยัง นายแสวง กล่าวว่า ไม่มีการกำหนด แต่สิ่งที่ กกต.ทราบ คือเรามีความพร้อมในการจัดเลือกตั้งพร้อมการทำประชามติ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะมีความชัดเจน ซึ่งต้องหารือกับนายกฯ อีก 1-2 ครั้ง ส่วนตอนนี้ที่คนพูดกันเพราะว่ามีการทำ MOA ว่าจะมีการยุบสภาในวันนั้นวันนี้เท่านั้นเอง  

ทั้งนี้ การเลือกตั้งสส. สามารถลงคะแนนล่วงหน้าได้ และลงนอกเขตได้ ส่วนการออกเสียงทำประชามติ ไม่สามารถออกเสียงล่วงหน้าได้ แต่ประชาชนสามารถออกเสียงนอกเขตได้และต้องทำในวันจริงเท่านั้น ดังนั้น ประชาชนที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด หรือต่างประเทศก็ไม่ต้องไปลงคะแนน 2 รอบ หรือกลับภูมิลำเนาแต่อย่างใด 

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าจะมีการรวบประชามติ 1 ใบ เท่ากับวันนั้นจะมีมีบัตร 3 ใบ คือบัตรลงคะแนนสส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรประชามติ จากกก่อนหน้านี้บอก 4 ใบ ดังนั้น แนวโน้มป็นอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า เรื่องนี้ยังตอบตอนนี้ไม่ได้ แต่มีเหตุผลของมัน ซึ่งจะให้มีกี่ใบไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เราต้องเอาประชาชนเป็นหลัก คือไม่เพิ่มภาระประชาชน ไม่ทำให้เกิดบัตรเสีย ยกตัวอย่างคำถามประชามติครั้งที่ 1 กับครั้ง 2 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าให้ทำรวมกันได้ กับเรื่อง MOU ก็รวมได้ ซึ่งจะประหยัดงบแน่ๆ กว่า 55 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะคิดตามมาคือ ประชาชนจะสับสนหรือไม่ เพราะมีคำถามเยอะ ซึ่งในช่วงการขาน การอ่าน 4 คำถามก็ต้องมี 4 กระดาน ดังนั้นเรากำลังประเมินว่าอะไรจะดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถ้าตามที่กกต.ตั้งกำหนดขอเวลา 75 วัน ในการเผยแพร่ ให้ความรู้ประชาชน เพื่อจัดเลือกตั้งพร้อมลงประชามติ ดังนั้นเท่ากับว่าผู้เกี่ยวข้อง จะต้องส่งประเด็นคำถาม โดยเฉพาะรัฐสภา ต้องส่งคำถามประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับ ครม. และส่งให้ กกต. ก่อนวันที่ 13 ม.ค. 2569 หรืออย่างช้าสุดไม่เกินวันที่ 28 ม.ค.2569 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 60-150 วัน ของกฎหมายประชามติ 2568