ส่องดราม่าคัด ‘เลือดแท้สีส้ม’ ฝ่ากระแส ‘ขวาหัน’ สู้เลือกตั้ง

เกิดความขัดแย้งภายในพรรคประชาชน (ปชน.) เกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร สส. ที่มีความเข้มงวดสูง จนผู้สมัครบางรายถูกตัดสิทธิ์แม้จะเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวในเขต
KEY
POINTS
- เกิดความขัดแย้งภายในพรรคประชาชน (ปชน.) เกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร สส. ที่มีความเข้มงวดสูง จนผู้สมัครบางรายถูกตัดสิทธิ์แม้จะเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวในเขต
- เป้าหมายหลักของกระบวนการคัดเลือกใหม่คือการเฟ้นหาผู้สมัครที่มีอุดมการณ์ "เลือดแท้สีส้ม" เพื่อป้องกันปัญหา "งูเห่า" ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกับพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล
- มีเสียงวิจารณ์ว่าการคัดเลือกที่แข็งกร้าวเกินไปอาจสร้างความแตกแยกภายใน และอาจไม่ส่งผลดีในบริบทการเมืองปัจจุบันที่ฝ่ายอนุรักษนิยมมีอำนาจนำ ซึ่งอาจต้องการผู้สมัครที่ยืดหยุ่นมากกว่า
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวดราม่าเล็ก ๆ ภายในพรรคประชาชน (ปชน.) กรณีมีผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต บางจังหวัด เปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า ไม่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาประจำเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ของพรรค ปชน. แม้ว่าบางเขตจะมีผู้ประสงค์ลงสมัครเพียงแค่ “คนเดียว” ก็ตาม
ประเด็นดังกล่าว สร้างแรงกระเพื่อมถึง “ด้อมส้ม” ที่ออกมาตั้งคำถามว่า พรรคใช้หลักเกณฑ์อะไรในการคัดเลือกตัวผู้สมัครเหล่านี้ ทั้งที่สถานการณ์การเมืองกำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภาฯ นำไปสู่การเลือกตั้งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ส่งผลให้อดีตผู้สมัคร สส.-สมาชิกพรรค-มหามิตรส้ม แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง ค่อนข้างน่าสนใจ
ฝ่ายหนึ่ง มองว่า การคัดสรรตัวผู้สมัคร สส.ในรูปแบบใหม่ ลักษณะ “ไม่เข้าท่า” เช่น บางพื้นที่มีผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นหลายคน โดยให้ทุกคนลงพื้นที่พร้อมกันเพื่อแนะนำตัว-หาเสียง-ทำพื้นที่พร้อมกัน เช่น เขต A มีผู้ประสงค์ลงสมัคร สส.ที่ผ่านคุณสมบัติถึง 5 คน พรรคให้ทั้ง 5 คนดังกล่าว แนะนำตัว-ทำพื้นที่ เป็นต้น สร้างความสับสนให้กับประชาชนในพื้นที่ไม่น้อย นอกจากนี้ระบบดังกล่าวอาจส่งผลให้ “พรรคแตก” เพราะแทนที่จะสร้างความร่วมมือเพื่อผลักดันส่งคนใดคนหนึ่ง กลับให้คนในพรรคมา “แข่งกันเอง”
อีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า เป็นการคัดสรรตัวผู้สมัครที่ค่อนข้างเป็นธรรม เพราะเกิดการแข่งขันกันเอง จะทำให้รีดศักยภาพตัวผู้สมัคร สส.ได้สูงสุด และสามารถสังเกตการณ์ตัวผู้สมัคร สส.คนดังกล่าวได้ว่า ถึงที่สุดแล้วก่อนถึงวันลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น มี “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” อย่างเต็มขั้นหรือไม่ ขณะเดียวกันมีบางคนเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนสมหวังและผิดหวัง ถึงแม้บางพื้นที่ไร้คู่แข่งก็สามารถ “ตกรอบ” ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับดุลพินิจของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครประจำพื้นที่นั้น ๆ
อย่างไรก็ดียังมีเงื่อนปมสำคัญที่ ปชน.ยังไม่มีคำตอบแก่ตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. หรือแม้แต่สมาชิกพรรคที่ตั้งคำถามคนอื่น ๆ คือกรณีการ “ตัดสิทธิ” ผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้งบางคน มีสาเหตุจากอะไร ที่น่าสนใจบางเขตที่มีผู้ประสงค์ลงสมัครเพียงคนเดียว ได้แนะนำตัว-ทำพื้นที่เบื้องต้นมาแล้ว กลับถูกตัดสิทธิไป ทั้งที่มิได้แข่งขันกับใครด้วยซ้ำ
ว่ากันว่า สาเหตุประการสำคัญอาจเป็นเพราะความขัดแย้งทางด้าน “ทัศนคติ-อุดมการณ์” ระหว่างผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. กับ “ตัวแทนสาขาพรรค” ประจำพื้นที่นั้น ๆ
เนื่องจากพรรค ปชน.ใช้ระบบการคัดสรรตัวผู้สมัครแบบใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา โดยสรุปบทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2562 และ 2566 ซึ่งปรากฏ “งูเห่า” จำนวนมาก และหลายคนมีประวัติ “ด่างพร้อย” ทำให้ไม่ตรงกับ “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” ตามที่ตั้งใจไว้
โดย“งูเห่าสีส้ม”ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 6 ปีหลังที่ผ่านมา มีหลายสิบคน และเกิดขึ้นใน “ทุกยานพาหนะ” กล่าวคือ ตั้งแต่ “อนาคตใหม่-ก้าวไกล-ปชน.”
ความพยายามแก้ไข “งูเห่า” ที่ปะปนในพรรค เริ่มมานานแล้วตั้งแต่ยุค “ก้าวไกล” ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นำทัพ และ “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นเลขาฯพรรค จนก้าวมาสู่หัวหน้าพรรค กระทั่ง “ก้าวไกล” ถูกยุบ และไปก่อร่างสร้างพรรค ปชน.ขึ้นมา ผลักดัน “ศรายุทธิ์ ใจหลัก”เป็นเลขาฯคนปัจจุบัน แต่ก็เหมือนจะดำเนินการได้ยากยิ่ง
เรื่องนี้ แกนนำพรรค ปชน. เคยให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจไว้ว่า ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า หากต้องการจะได้คะแนนถึงระดับ “แลนด์สไลด์” จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวนั้น แม้เป็นโจทย์หินที่เป็นไปได้ยากก็ตาม แต่จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือการตั้ง “คณะกรรมการจังหวัด” โดยคัดเลือกจากตัวแทนระดับอำเภอมารวมกัน เพื่อสรรหาตัวผู้สมัครมาตั้งแต่ต้น คลุกคลีตีโมงร่วมงานกันมาแต่แรก เพื่อให้ได้ “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” แบบเต็มขั้น
โดยพรรค ปชน. ยังอยู่ระหว่างอบรมสัมมนา สส.-สมาชิก-เครือข่าย แต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ เพื่อเตรียมตั้ง “คณะกรรมการจังหวัด” ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเฟ้นหาคนลงสมัคร สส.-ผู้บริหารท้องถิ่น และคาดว่าจะทำให้กวาดชัยชนะได้
อย่างน้อยก็ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะบทเรียนจากการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งที่ผ่านมาปี 2563 สมัย “คณะก้าวหน้า” ทำให้เรารู้ว่า ไม่สามารถหว่านแหส่งคนชิงทั่วประเทศได้ ต้องส่งคนเฉพาะในพื้นที่ที่เรามี “กระแส-ความพร้อม” เท่านั้น โดยผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ในช่วงปี 2567-2568 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่จะนำไปขยายผลในการเลือกตั้งครั้งถัด ต่อไป
สำหรับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.เมื่อปี 2567-2568 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ปชน.ได้ “นายก อบจ.” เพียง 1 เดียวคือ นายก อบจ.ลำพูน ส่วนที่เหลือสามารถส่ง “เครือข่ายสีส้ม” ไปฝังตัวใน ส.อบจ.รวม 132 คน จาก 33 จังหวัด แม้บางฝ่ายมองว่า “ล้มเหลว” แต่ภายใน “ก๊กส้ม” ประเมินว่า “ทิศทางดีขึ้น” เพราะต้องไม่ลืมว่าการ “เลือกตั้งท้องถิ่น” เน้นความเป็น “บ้านเกิด-บ้านใหญ่” มากกว่าการเลือกตั้ง สส.ระดับชาติที่ใช้ “กระแส” มากกว่า
ปัจจุบัน การคัดสรรตัวผู้ประสงค์ลงสมัครับเลือกตั้ง สส.ของพรรค ปชน.ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรของพรรค อย่างน้อย 2 หลักสูตร ได้แก่ PP101 หลักสูตรตัวแทนสมาชิกพรรคประชาชน 101 เป้าหมายของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ “สร้างรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนแปลง” เพื่อ “สร้างประเทศที่เป็นของประชาชน”
เป้าหมายของหลักสูตรนี้คือ พรรคจะต้องเข้มแข็งขึ้นในหลายมิติ บนรากฐานของ “การเป็นพรรคมวลชน” โดยมีแนวทางในการทำงานคือ คน-ความรู้-เครือข่าย พัฒนาคน (ที่เป็นบุคลากรของพรรคทุกระดับ ตั้งผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ไปจนถึงนักการเมืองของพรรค) เราต้องร่วมกันสร้างความรู้ (จากการปฏิบัติจริง) ขยายเครือข่าย (จากการทำงานร่วมกับประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้) หลักสูตรนี้จึงเป็นหลักสูตรแรกที่พรรคประชาชนทดลองพัฒนาขึ้นมา เพื่อพัฒนาคนของพรรคที่สนใจจะมาเป็นตัวแทนสมาชิกพรรค”
ถัดมาคือ หลักสูตรนักการเมืองประชาชน PC 101 เพื่อมุ่งเน้นว่า การเมืองในประเทศไทยวันนี้ ต้องการมากกว่าการชนะเลือกตั้ง พรรคประชาชนจึงไม่เพียงส่งผู้สมัครเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเท่านั้น แต่เราส่งนักการเมืองเพื่อยกระดับการเมืองประเทศนี้ หลักสูตร PC101 จะชวนผู้เข้าอบรมทุกคน มองให้ลึกไปกว่าเสียงข้างมากในสภา แต่ไปถึงคำถามที่สำคัญยิ่งกว่า ว่าเราจะเปลี่ยนฉันทมติของสังคมไทยได้อย่างไร
หากมองพัฒนาการของ “ก๊กส้ม” 3 ยุคตั้งแต่ “อนาคตใหม่” ที่เน้น “ปักธงความคิด” ให้ประชาชนตั้งคำถาม เพื่อเปลี่ยนแปลงรากฐาน-โครงสร้างของประเทศ ถัดมาสู่ “ก้าวไกล” เพื่อหวังเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงประเทศ ผ่านระบบรัฐสภา และมุ่งเข้าไปบริหารประเทศ ทว่าเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง จนมาสู่ยานพาหนะคันที่ 3 อย่าง “ปชน.” ซึ่งแบกรับภารกิจตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” เอาไว้เต็มเปี่ยม
ทว่าการคัดสรรตัวผู้สมัครของ ปชน.ครั้งนี้ น่าจะเกิดขึ้นเพื่อ “ความรัดกุม” เข้มงวด เฟ้นหา “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องการให้มี “งูเห่า” ปะปนมาแม้แต่ตัวเดียว แต่ต้องไม่ลืมว่า “ระบบการคัดสรร” ดังกล่าว อาจมีช่องโหว่คือ เน้นประสิทธิภาพของผู้สมัครจนเกิดเหตุ โดยไม่ใส่ใจสมาชิกพรรคที่เหลือ หรือผู้ที่ “สอบตก” ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่” ส่งผลให้หลายคนออกจากพรรคไป โดยอ้างเรื่อง “2 มาตรฐาน”
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าบริบททางการเมืองในปี 2569 ยังคงอยู่ในห้วง “ขวาหัน” ฝ่ายอนุรักษนิยมครองอำนาจนำ ปชน.ในฐานะตัวแทน “ฝ่ายซ้าย” ในสังคมไทย อาจมีที่ยืน “แคบลง” การคัดสรรตัวผู้สมัครที่มีลักษณะ “ยืดหยุ่น” ขยันทำพื้นที่ อะลุ่มอะล่วยด้านทัศนคติทางการเมือง อาจได้ประสิทธิผลดีกว่าการสรรหา “ดีเอ็นเอส้ม” เพียว ๆ แต่แข็งกระด้าง ที่อาจสุมเชื้อไฟความขัดแย้งระดับชาติเพิ่มเติม ส่งผลให้ “ก๊กส้ม” เสียฐานที่มั่นไป
ดังนั้น “วัฒนธรรมสีส้ม” ที่เน้น “มติพรรค” ใหญ่กว่า “คน” แต่อาจหลงลืมไปว่า “ประชาชน” ใหญ่กว่า “พรรค” อาจส่งผลให้ต้องเสียผู้ประสงค์ลงสมัคร สส. “มือดี” ไปแบบคาดไม่ถึง ก็เป็นไปได้







