จับตา ‘ท้องถิ่นก้าวหน้า’ ไปต่อ หรือจอดที่ ‘สภาสีน้ำเงิน’

โค้งสุดท้ายของฝ่ายนิติบัญญัติ "ปชน." ดันร่างกฎหมาย ที่อัพเกรดท้องถิ่น ได้สำเร็จ แม้จะแก้แค่เกณฑ์อายุ-ไม่จำกัดวาระ แต่ผลนั้นสะเทือนถึงจุดเปลี่ยนเลือกตั้งท้องถิ่น
KEY
POINTS
- สภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างกฎหมาย 5 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งมีสาระสำคัญคือการแก้ไขเกณฑ์อายุ วุฒิการศึกษา และปลดล็อกการจำกัดวาระดำรงตำแหน่ง
- การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อสร้างพื้นที่แข่งขันที่หลากหลาย การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมืองท้องถิ่น
- แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกวิจารณ์ว่าอาจเอื้อให้กลุ่มอิทธิพล "บ้านใหญ่" ผูกขาดอำนาจได้ง่ายขึ้น
- ร่างกฎหมาย "ท้องถิ่นก้าวหน้า" ทั้งหมดจะต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา เป็นด่านสุดท้าย ซึ่งจะชี้ชะตาว่าจะได้รับการเห็นพ้อง หรือ เห็นแย้ง
- หาก "สว." ที่สายสีน้ำเงินครองเสียงข้างมาก เห็นแย้ง เท่ากับว่า ร่างกฎหมายอัพเกรดท้องถิ่น ถูกตัดโอกาสผ่านภายใต้สภาชุดนี้
โค้งสุดท้ายของ “สภาผู้แทนราษฎร” ชุดปัจจุบัน ต่อการผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติ” ก่อนที่จะปิดสมัยประชุม ล่าสุดพบว่ามติของสภาฯ ผลักดัน 5 ร่างกฎหมายสำคัญ ที่มีผลเปลี่ยนแปลงต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นได้สำเร็จ
ประกอบด้วย 1.ร่างพ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.ร่าง พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 3.ร่าง พ.ร.บ.สภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 4.ร่างพ.ร.บ.เทศบาล และ 5.ร่างพ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น
ร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ เริ่มต้นผลักดันมาจาก “3 พรรคการเมือง” คือ “เพื่อไทย-ประชาชน-ภูมิใจไทย” และมีหลักการร่วมกัน คือ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันและเพิ่มความหลากหลายของผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น โดยแก้เงื่อนไขของผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง “ท้องถิ่น” ในเกณฑ์อายุ-วุฒิการศึกษา พร้อมปลดล็อกการจำกัดวาระดำรงตำแหน่ง
สาระที่ถูกปรับแก้ในร่างกฎหมายแม่บท คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น แม้จะไม่ปรับเกณฑ์อายุผู้มีสิทธิสมัคร สมาชิกสภาท้องถิ่น และคงไว้ที่ 25 ปีตามเดิม แต่เพิ่มเงื่อนไขคุณสมบัติด้านการศึกษา คือ ผู้ลงสมัครเป็น นายก อบจ. นายกเทศมนตรี ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือเทียบเท่า หรือเคยเป็น สจ. ส.อบจ. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
ขณะที่ นายก อบต. ต้องจบการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมปลาย หรือเทียบเท่า หรือเคยเป็น สมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
ส่วนผู้ว่าฯกรุงเทพ นายกเมืองพัทยา หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด
ส่วนร่างกฎหมาย อบจ. อบต. และเทศบาล แก้เกณฑ์ว่าด้วยอายุ ซึ่งเดิมต้องไม่ต่ำกว่า 35 ปีในการลงสมัคร โดยตัดออก
เท่ากับว่า เมื่อร่างกฎหมาย 3 ฉบับนี้ใช้บังคับ ผู้จะลงสมัครเป็นนายก อบจ. นายก อบต. และนายกเทศมนตรี จะไม่มีเกณฑ์อายุขั้นต่ำกำกับไว้
ต่อประเด็นนี้ “ชำนาญ จันทร์เรือง” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า มองว่า เป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาเป็นตัวเลือกของการเมืองระดับท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ท้องถิ่นได้รับโอกาสการพัฒนาจากแนวคิด เทคโนโลยีตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
ในกรณีของการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น ในส่วนของการ “ไม่จำกัดวาระดำรงตำแหน่ง” จากเดิมที่กฎหมายเก่ากำหนดให้อยู่ได้เพียง 2 วาระ และห้ามเป็นต่อ จนกว่าจะพ้นตำแหน่งครบ 4 ปี ถูกตั้งข้อสังเกตจากที่ประชุมสภาฯ ว่า เอื้อให้เกิดการผูกขาดของ “กลุ่มอิทธิพลบ้านใหญ่”
ทว่าในมุมกลับกัน “ชำนาญ” มองว่า การผูกขาดโดยกลุ่มอิทธิพล-นักเลง-กลุ่มผลประโยชน์หรือไม่ ขอให้ลองมองว่า เป็นประเด็นที่เข้ามาอุดผลประโยชน์เชิงลบหรือไม่ การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองท้องถิ่น เท่ากับว่าประชาชนมีตัวเลือกมากขึ้น มีคนหนุ่มสาว ไฟแรง มีทัศนคติแบบใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น
“ปัจจุบันแม้นักการเมืองท้องถิ่นถูกจำกัดวาระดำรงตำแหน่ง ห้ามเป็น 2 สมัยติดต่อกัน ตามที่กฎหมายท้องถิ่นแก้ไขในยุค คสช. แต่ข้อเท็จจริงพบว่า พวกเขายังส่ง“นอมินี”เข้ามาเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงาน การตัดสินใจในการแก้ปัญหาให้กับท้องถิ่น ที่ต้องรอผู้มีอำนาจตัวจริงอนุมัติ” ชำนาญ สะท้อน
ขณะที่ในมุมของ “นักเลือกตั้ง” ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ “คณะก้าวหน้า” ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาทำงานเชิงรุกในระดับท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น โดยมี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นหัวหอก ประกาศเขย่าการเมืองท้องถิ่น หวังสะสมขุมกำลัง เป็นพลังดัน “พลพรรคสีส้ม” เข้าสู่วงในของการบริหารประเทศ
ทำให้ช่วงหนึ่งของการอภิปรายร่างกฎหมาย “สส.” หลายคนเอ่ยปากในสภาฯ ไว้ว่า จะเป็นการเปิดช่องให้คนที่ด้อยวุฒิภาวะเข้ามา และอาจมีผลต่อความรับผิด-รับชอบ ต่องานบริหารบ้านเมืองระดับฐานรากได้
ต่อประเด็นนี้ “ชำนาญ” ชี้ว่าเป็นการมองมุมแคบเกินไป เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ให้คนแต่ละท้องที่เป็นผู้เลือกตัวแทนไปบริหาร เขารู้เช่นเห็นชาติคนที่เสนอตัวเข้ามาเป็นอย่างดี และการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ได้เสนอตัวเป็นทางเลือก ไม่ใช่ว่าจะได้รับเลือก แม้จะมีโอกาสอยู่บ้างก็ตาม
ปัจจัยที่ “ชำนาญ” มองแบบนั้น เป็นเพราะเข้าใจในธรรมชาติของการเมือง ที่มีบ้านใหญ่แผ่ขยายอำนาจ กุมพื้นที่ และปัจจุบันมีหลายจังหวัดเป็นแบบนั้น
กับร่างกฎหมายท้องถิ่นที่สภาฯเห็นชอบ สาระแท้จริง คือ เปิดช่องให้ “นักการเมืองหน้าใหม่” มาชิมลางสนามท้องถิ่นมากขึ้น และสิ่งที่ต้องจับตา คือ ผลที่จะเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ “ช่วงวัย” ถูกเปลี่ยนผ่าน และเกมอำนาจนี้ หากใครเดินเกมเร็วกว่า ย่อมมีโอกาสกินรวบ ทั้งการเมืองท้องถิ่น-การเมืองระดับชาติ
จากนี้ต่อไป ต้องจับตาการพิจารณาในชั้น “วุฒิสภา” ว่าจะเห็นตาม “สภาฯ” หรือเห็นแย้ง เพราะหากเป็นอย่างหลัง เท่ากับว่าปิดประตูใส่หน้า “ร่างกฎหมายท้องถิ่นก้าวหน้า” ไม่ยอมให้ผ่านไปในสมัยสภาฯ นี้ และเป็นการส่งสัญญาณ “ไม่ต้อนรับ” จากการเมืองบ้านใหญ่ ที่มี “ค่ายสีน้ำเงิน” เป็นฝ่ายคุมผลโหวต







