ปฏิญญา(ไม่)สันติภาพ จับตากลเกม‘กัมพูชา’ถอนอาวุธ

ปฏิญญา(ไม่)สันติภาพ   จับตากลเกม‘กัมพูชา’ถอนอาวุธ

หลังวันลงนามปฏิญญา 1-2 วัน ประมาณ 27 ต.ค.หรือ 28 ต.ค. กัมพูชา นัดประชุมเพิ่มเติม นำแผนปฏิบัติการ หมาแจ้งฝ่ายไทย และกำหนดวัน น. เวลา น.เคลื่อนย้ายอาวุธหนักพร้อมกัน

KEY

POINTS

  • กัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงปฏิญญาสันติภาพที่ได้ลงนามต่อหน้า “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือไม่ คนชี้ขาดไม่ใช่ “ฮุน มาเนต” แต่เป็นฮุน เซน ผู้เป็นบิดา
  • กัมพูชา แจ้งว่าอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งคณะ AOT ได้ในวันที่ 26 ต.ค. และหลังจากนั้นจะเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมเพิ่มเติมภายใน 1-2 วัน
  • แผนปฏิบัติการของฝ่ายไทย ที่ได้แจ้งกับฝ่ายกัมพูชากำหนดไว้ 3 จุด 

การลงนามปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ผู้นําไทย และ “ฮุน มาเนต” ผู้นำกัมพูชา ในเวทีสุดยอดอาเซียน โดยมี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อ 26 ต.ค.2568 

เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไข ที่กัมพูชายอมรับ 4 ข้อเสนอของฝ่ายไทย ประกอบด้วย 1.ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ 2.เก็บกู้ทุ่นระเบิด 2.ปรามปรามสแกมเมอร์ 4 จัดระเบียบพื้นที่ชายแดน

สะท้อนให้เห็นการทำงานสอดผสานระหว่าง รัฐบาล กระทรวงต่างประเทศ และกองทัพ ซึ่งมีความเป็นเนื้อเดียวกัน ผ่าน 2 เวทีทวิภาคี คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) 

“อนุทิน” ให้ความมั่นใจต่อประชาชนว่า ในปฏิญญาที่ลงนามกับทางรัฐบาลกัมพูชา ไม่มีข้อไหนที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ปฏิญญานี้ไม่ใช่สนธิสัญญา ไม่ต้องเข้ารัฐสภา แต่รับรองจากคณะรัฐมนตรี 

โดย 4 ข้อนี้ ประชาชนจะเห็นได้เลยว่า จะต้องเริ่มจากฝั่งกัมพูชาก่อน เมื่อเขาเริ่ม เราจะประเมิน ดำเนินการต่อไปเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ยังไม่เปิดด่าน ไม่มีการดำเนินการใดๆ ยอมเสียดินแดน หรือใช้แผนที่ 1 : 200,000 ประเทศไทยไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขตรงนี้

“ลงนามในปฏิญญานี้แล้ว ขอย้ำนะครับ ไม่ใช่สัญญาสงบศึก ไม่ใช่ Peace Ageement เป็น Joint declaration หรือแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ ในดินแดนทั้ง 2 ประเทศ ก็ขอให้ความมั่นใจอีกครั้ง” นายกฯอนุทิน ระบุ

ทว่า ผลลัพธ์หลังจากนี้ กัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงปฏิญญาสันติภาพที่ได้ลงนามต่อหน้า “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือไม่ คนชี้ขาดไม่ใช่ “ฮุน มาเนต” แต่เป็น “ฮุน เซน” ผู้เป็นบิดา

เช่นเดียวกับการประชุมระหว่างแม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2)ของไทยกับผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เมื่อ 25 ต.ค.2568 แม้ทั้งสองฝ่ายจะยืนยันเห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ว่าด้วยการปรับอาวุธหนัก และอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง 2 ประเทศ 

โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT)ของแต่ละฝ่าย ตรวจสอบผลการปฏิบัติตาม “แผนปฏิบัติการ” ซึ่งฝ่ายไทย จัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ยืนยันความพร้อมให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่ 26 ต.ค. 

ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา แจ้งว่าอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งคณะ AOT ได้ในวันที่ 26 ต.ค. และหลังจากนั้นจะเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมเพิ่มเติมภายใน 1-2 วัน เพื่อหารือ กำหนดวันเริ่มปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ

ว่าด้วยการจัดตั้งคณะ AOT คือ หัวใจหลัก และมีความสำคัญ ฝ่ายไทยมีเจ้ากรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นผู้คัดเลือก 

สำหรับจำนวน มีรายงานว่า ไม่ถึงหลัก 10 จากชาติต่างๆ มาเป็นคณะ AOTฝ่ายไทย มีหน้าที่ไปตรวจสอบกัมพูชาเคลื่อนอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่าง BM-21 ออกจากพื้นที่หรือไม่

แน่นอนว่า ฝ่ายกัมพูชา“ฮุน เซน” เป็นผู้คัดเลือก เบื้องต้นรับแจ้งว่า คณะ AOT กัมพูชากำหนดไว้ 45 คน ทำหน้าที่เข้ามาตรวจสอบฝ่ายไทย

จำนวนคณะ AOT แต่ละฝ่ายจะมีมากหรือน้อย ไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญ ชาติที่ฝ่ายไทยเลือก ต้องมั่นใจว่า ไว้ใจได้ จริงใจ เพราะต้องทำหน้าที่เก็บรายละเอียด ข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา มาแจ้งฝ่ายไทยตามข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน

แผนปฏิบัติการของฝ่ายไทย ที่ได้แจ้งกับฝ่ายกัมพูชากำหนดไว้ 3 จุด 1.จุดเริ่ม จ.สุรินทร์ คือ จะเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ อาวุธทำลายล้างสูงออกจากชายแดนทั้งหมดมายังจุดนี้ 2.จุดเช็คพอยท์ กำหนดโคราช จ.นครราชสีมา รองรับปืนใหญ่เคลื่อนมาจาก จ.สุรินทร์ 3.จุดจัดเก็บ จ.ลพบุรี รองรับปืนใหญ่เคลื่อนมาจากโคราช

คณะ AOT กัมพูชา จะเดินทางเข้ามาตรวจสอบทั้ง 3 จุด จุดละ 15 คนว่าฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามแผนที่ได้แจ้งไว้หรือไม่ และนำข้อมูลไปแจ้งกับกัมพูชา

ส่วนกัมพูชา ยังไม่ได้แจ้งแผนปฏิบัติการของตัวเองให้ฝ่ายไทยทราบ เพราะต้องรอ“ฮุน เซน” เป็นผู้กำหนดการเคลื่อนย้าย BM-21 จากจุดเริ่มไปยังจุดเช็คพอยต์ และจุดจัดเก็บ

หากเป็นไปตาม ผบ.ภูมิภาคที่ 4 กัมพูชาได้แจ้งไว้กับ มทภ.2 จะนัดฝ่ายไทยประชุมเพิ่มเติม หลังวันลงนามปฏิญญา 1-2 วัน ประมาณวันที่ 27 ต.ค.หรือ 28 ต.ค. นำแผนปฏิบัติการมาแจ้งฝ่ายไทย และกำหนดวัน น. เวลา น.เคลื่อนย้ายอาวุธหนักพร้อมกัน

ทั้งนี้ อาจมองได้หลายกรณี คือ กัมพูชา ยังตั้งคณะ AOT และแผนปฏิบัติการไม่แล้วเสร็จ ตามที่กล่าวอ้าง เพราะคนที่ต้องคิดและตัดสินใจคือ“ฮุน เซน” เพียงคนเดียว ซึ่งอาจต้องใช้เวลา

ขณะที่อีกทาง อาจเป็นได้ว่าฮุน เซน กำลังเล่นแง่ ด้วยการยื้อเวลาออกไปอีก 2 วัน หวังประเมินสถานการณ์หลังลงนามปฏิญญาชิงความได้เปรียบ หรือตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติม ก่อนส่งมอบแผนปฏิบัติการกัมพูชาให้ฝ่ายไทย และกำหนดวันเคลื่อนย้ายอาวุธหนัก

หรืออีกทางหนึ่งฮุน เซน บิดพลิ้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในปฏิญญา เหมือนกับทุกครั้งที่แล้วมา หากเป็นเช่นนั้น กัมพูชาก็ต้องรับแรงกระแทกอย่างหนัก

ดังนั้น ไม่ว่าคำตอบจะออกมาทิศทางใด ฝ่ายไทยเตรียมแผนรองรับไว้หมดสิ้น ไม่หวั่นแม้ BM-21 ประชิดชายแดนกว่า 200 คัน