‘ฮุน มาเนต’ ใต้เงา ‘ฮุน เซน’ เกมโดดเดี่ยว‘พ่อ’ อุ้มชู‘ลูก’

หลังลงนามสันติภาพ “ฮุน มาเนต”จะจริงใจในปฏิบัติตามข้อตกลงมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชา สงบสุขแท้จริง ท่ามกลางระเบิดเวลา ปมสแกมเมอร์ สั่นคลอนอำนาจ“ฮุน เซน”
KEY
POINTS
- พลิกประวัติ ฮุน มาเนต จะพบว่า มีสายสัมพันธ์กับสหรัฐ สมัยได้รับโควตาจากกองทัพไทย ไปเรียนวิทยาลัยการทหารสหรัฐอเมริกา
- การใช้ชีวิตในสหรัฐ ประเทศต้นแบบระบอบประชาธิปไตยร่วม 10 ปี เชื่อว่า มากพอที่สามารถหล่อหลอม ฮุน มาเนต ให้สามารถพูดคุยภาษาเดียวกันได้ หากสามารถหลุดพ้นอำนาจของ ฮุน เซน
- ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาออกแอ็กชั่น ปูทางการมาเยือนของ “โดนัล ทรัมป์” ในเวทีอาเซียนซัมมิต ด้วยการเดินสายของ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พบผู้นำไทย และ รมว.กลาโหม
คงไม่เพียงแต่ สหรัฐฯ เท่านั้น ที่อยากให้ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี กัมพูชา หลุดพ้นจากอำนาจของ “ฮุน เซน” ผู้เป็นบิดา ฝ่ายไทยก็เช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
นับตั้งแต่ ไทย-กัมพูชา ได้ทำข้อตกลงหยุดยิง เข้าสู่โหมดการเจรจาทวิภาคี เมื่อ 10 ก.ย.2568 เป็นต้นมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(GBC) จนได้ข้อสรุป 4 ข้อ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบ สแกมเมอร์ การจัดระเบียบชายแดน พร้อมทั้งให้คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ไปกำหนดขั้นตอนดำเนินการ
ปรากฎว่า ฝ่ายกัมพูชาเพียงแค่รับทราบ แต่ไม่ปฏิบัติ เพราะศูนย์รวมอำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับ “ฮุน เซน” แต่เพียงผู้เดียว
ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ขอมีเอี่ยวในข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา หวังรักษาผลประโยชน์ของตัวเองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเข้ามาหย่าศึก โดย “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ จะจับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯไทย กับ“ฮุน มาเนต”นายกฯกัมพูชา ลงนามสันติภาพ ในเวทีการประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิต ระหว่าง 26-28 ต.ค.นี้
ภายหลังกระทรวงการคลังสหรัฐ และสำนักงานการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ประกาศคว่ำบาตร “เฉิน จื้อ” และบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) โดยกล่าวหาว่า เป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ มีฐานในกัมพูชา ฉ้อโกงเหยื่อทั่วโลก และแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จึงเป็นที่มา ที่ ทัช สุขะ (Touch Sokhak) โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ออกมาระบุว่า ปรินซ์กรุ๊ป ปฏิบัติตามกฎหมายของกัมพูชาอย่างครบถ้วน และได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ พร้อมยืนยันว่าการมอบสัญชาติกัมพูชาให้กับเฉิน ซึ่งเป็นชาวจีนโดยกำเนิด เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย และพร้อมให้ความร่วมมือ หากมีคำร้องขออย่างเป็นทางการพร้อมหลักฐานที่ชัดเจน รัฐบาลกัมพูชาไม่ปกป้องบุคคลที่ละเมิดกฎหมาย
กูรูการเมืองระหว่างประเทศ และนักวิชาการไทยหลายคนเห็นตรงกันว่า ไทยกำลังได้เปรียบจากการปฏิบัติการที่สหรัฐกดดันกัมพูชาให้รับ 4 ข้อเสนอฝ่ายไทย และมองข้ามช็อตว่า สหรัฐหวังเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลกัมพูชา ล้ม“ตระกูลฮุน”ที่ครองอำนาจมากว่า 30 ปี
ทว่า มุมมองคนในกองทัพไม่คิดเช่นนั้น เพราะหากพลิกประวัติ ฮุน มาเนต จะพบว่า มีสายสัมพันธ์กับสหรัฐ สมัยได้รับโควตาจากกองทัพไทย ไปเรียนวิทยาลัยการทหารสหรัฐอเมริกา(เวสต์พอยต์) ปี 2538 (ค.ศ.1995)
โดยสื่อสิ่งพิมพ์ไทยขณะนั้นได้เขียนถึงการเข้าศึกษา ฮุน มาเนต ที่เวสต์พอยต์ เป็นผลมาจาก "โควตาพิเศษ" หรือ"โควตาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(รร.จปร.) ที่ไทยได้รับในฐานะพันธมิตรของสหรัฐ แต่สละให้กัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผบ.ทบ.ขณะนั้น เป็นผู้รับประกัน
โดยเป้าหมายหนึ่งของสหรัฐในการให้โควตาต่างชาติ ที่มุ่งเน้นประเทศกำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา ให้ส่งคนเข้าเรียนเวสต์พอยต์ หวังให้เรียนรู้ประเทศต้นแบบระบอบประชาธิปไตย และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อนำไปพัฒนาประเทศของตัวเอง
โดย ฮุน มาเนต ได้รับการบ่มเพาะผ่านหลักสูตรต่างๆ เช่น หลักสูตร กระโดดร่มชั้น 3 และหลักสูตรโจมตีทางอากาศ ของกองทัพบกสหรัฐ จนเรียนจบเวสต์พอยต์ ในปี 2542 เป็นบัณฑิตชาวกัมพูชาคนแรก และเป็นหนึ่งในนักเรียนนายร้อยต่างชาติ 7 คนที่สำเร็จการศึกษาในปีนั้น
จากนั้น ฮุน มาเนต ได้ศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ จนจบปริญญาโท และในปี พ.ศ.2551 ศึกษาต่อเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ จนจบปริญญาเอก
การใช้ชีวิตในสหรัฐ ประเทศต้นแบบระบอบประชาธิปไตยร่วม 10 ปี เชื่อว่า มากพอที่สามารถหล่อหลอม ฮุน มาเนต ให้สามารถพูดคุยภาษาเดียวกันได้ หากสามารถหลุดพ้นอำนาจของ ฮุน เซน
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาออกแอ็กชั่น ปูทางการมาเยือนของ “โดนัล ทรัมป์” ในเวทีอาเซียนซัมมิต ประเทศมาเลเซีย ด้วยการเดินสายของ โรเบิร์ต เอฟ โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พบผู้นำไทย และ รมว.กลาโหม
ผ่านการเปิดเผยของ โฆษกรัฐบาล สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ที่ระบุว่า นายกฯ ย้ำจุดยืนไทย 4 ข้อ ให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการด้วยความจริงใจ เพื่อให้การเจรจาเป็นไปอย่างจริงจัง เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ทั้งสองประเทศ และช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สหรัฐจะส่งคณะผู้แทนมาเยือนไทย เพื่อหารือเรื่องสแกมเมอร์กับนายกรัฐมนตรี กำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการปราบปรามร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
ส่วนจีนเอง นอกจากไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ที่ “ฮุน เซน”เป็นฝ่ายก่อขึ้น อีกทั้งยังกระทบกับผลประโยชน์มากมายที่มีในกัมพูชา แม้แต่ความสัมพันธ์กับฝ่ายไทย
เพราะล่าสุด จีนถึงขนาดนำรายการอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่สนับสนุนกองทัพกัมพูชามาให้ฝ่ายไทยได้ดูว่า ไม่มีรายการส่งมอบภายหลังเกิดการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ ในช่วงปะทะ ฝ่ายจีนไม่อนุญาตให้กัมพูชาใช้ขีปนาวุธ และระบบยิงจรวด PHL-03 โจมตีฝ่ายไทย
ปัจจุบันปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังก้ำกึ่งระหว่างความขัดแย้งระดับกลางกับความขัดแย้งระดับสูง ที่ซ้อนทับกันอยู่ ส่วนน้ำหนักสถานการณ์เดินตามทิศทางใด ขึ้นอยู่กับการเจรจาหลายระดับ ทั้งระดับคณะกรรมการธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC)
ส่วนคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้ข้อสรุปเห็นพ้องใน 4 ข้อเสนอของฝ่ายไทย พร้อมเห็นชอบ “แอ็กชั่นแพลน” ถอนอาวุธหนักออกจากชายแดน โดยมอบหมายแม่ทัพภาคที่ 2 กับผบ.ภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ขับเคลื่อน พร้อมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ จัดระเบียบชายแดน
เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุม GBC รอบนี้ มีเพียงผู้แทนสหรัฐ เข้ามาสังเกตการณ์ โดยไร้เงาผู้แทนจีนเข้าร่วม
ทั้งหมดนี้เพื่อนำไปสู่การลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิต ที่ประธานาธิบดี“โดนัล ทรัมป์” จะร่วมเป็นสักขีพยาน
ต่อจากนั้น คงตามลุ้นว่า กัมพูชาภายใต้การนำของ“ฮุน มาเนต” จริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชา มีสันติภาพอย่างแท้จริง
ท่ามกลางสถานการณ์โลกล้อม“กัมพูชา” ปมร้อนสแกมเมอร์ กำลังจะกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ สั่นคลอนอำนาจ“ฮุน เซน”







