‘ปริ้นซ์ กรุ๊ป-เบน สมิธ’ 2 ปม ‘พรรคส้ม’ เขย่า ‘ก๊กน้ำเงิน’

ก๊กส้ม ใช้ 2 ประเด็นหลัก คือ "ปริ้นซ์ กรุ๊ป" และ "เบน สมิธ" โจมต-ตรวจสอบ ก๊กน้ำเงิน เกี่ยวกับความจริงใจในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ
KEY
POINTS
- พรรคประชาชน (ก๊กส้ม) ใช้ 2 ประเด็นหลัก คือกรณี "ปริ้นซ์ กรุ๊ป" และ "เบน สมิธ" เพื่อโจมตีและตรวจสอบรัฐบาล (ก๊กน้ำเงิน) เกี่ยวกับความจริงใจในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ
- กรณี "เบน สมิธ" เป็นนักธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าอาจพัวพันกับขบวนการทุนสีเทา ฟอกเงิน และอาจมีความสัมพันธ์กับบุคคลระดับสูงในรัฐบาล
- กรณี "ปริ้นซ์ กรุ๊ป" เป็นกลุ่มธุรกิจของ "เฉิน จื้อ" ที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในฐานะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และถูกพาดพิงว่ามีบริษัทในเครือตั้งอยู่ในประเทศไทย
แม้ว่าในยุคปัจจุบันสังคมไทยกำลัง “หันขวา” โดยฝ่ายอนุรักษนิยมกำลังครองอำนาจนำอยู่ในตอนนี้ แต่ยังเกิดข้อครหาขึ้นหลายประเด็นที่พุ่งตรงไปยัง “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ไม่ว่าจะเป็นกรณีส่อเข้าไปคุ้ยเขี่ยสางคดีที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ เช่น กรณีเขากระโดง และกรณีฮั้ว สว.ที่ปัจจุบันมี “รัฐมนตรีน้ำเงิน” เป็นหัวโต๊ะ
ล่าสุด ยังมีอีกเงื่อนปมหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นระดับโลก นั่นคือกรณี “ชาติตะวันตก” ทุ่มสรรพกำลังรุกไล่ทำลายฐานทัพขบวนการ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์” ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยมีความเคลื่อนไหวจากทั้งสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ ขณะที่ไทย ยังถูกตั้งคำถามจากสาธารณชนว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว
ท่าทีจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นอกเหนือจากคำให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะเอาจริงเอาจังในการปราบปรามสแกมเมอร์ แต่ใน “ทางปฏิบัติ” ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมา
ทำให้“ก๊กส้ม”เริ่มเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างหนัก นำโดย 2 หัวหอกตัวหลัก“รังสิมันต์ โรม-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” 2 สส.พรรคประชาชน ที่ตั้งคำถามถึง“ความจริงใจ” ของ“นายกฯอนุทิน”ในการปราบปรามเรื่องนี้ พร้อมหยิบยก 2 เงื่อนปมสำคัญที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมนั่นคือ
1.กรณี “เบน สมิธ” นักธุรกิจสัญชาติแอฟริกาใต้-กัมพูชา ที่ “โรม” อภิปรายในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล ขยายความเชื่อมโยงให้เห็นชัดว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ “ทุนเทา” เพื่อฟอกเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และค้ามนุษย์ หรือไม่ โดยมีการกล่าวหาพาดพิงว่า “เบน สมิธ” อาจมีสายสัมพันธ์ หรือรู้จักกับ “บิ๊กเนมรัฐบาล” บางคนทั้งในอดีต และปัจจุบันอีกด้วย ซึ่งมาจากการนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนของ “ทอม ไรต์” สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) และหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่เปิดโปงการทุจริต เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐ “1 มาเลเซีย ดีเวลอปเมนต์ เบอร์ฮัด" (1MDB)
ทั้งนี้บุคคลระดับ “บิ๊กเนมรัฐบาล” ที่ถูกพาดพิงในเรื่องนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อแห่งหนึ่ง ปฏิเสธข้อมูลความเชื่อมโยงของเขากับ “เบน สมิธ” และขู่ฟ้องร้องคนที่กล่าวหาบิดเบือนเรื่องดังกล่าว ขณะเดียวกัน “เบน สมิธ” ออกแถลงการณ์ ปฏิเสธข้อมูลในข่าวของ “ทอม ไรต์” โดยยืนยันว่าที่ผ่านมาทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเตรียมดำเนินการฟ้องร้องกลับ
2.กรณี “ปริ้นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” หรือ “ปริ้นซ์ กรุ๊ป” ของ “เฉิน จื้อ” นักธุรกิจชื่อดังสัญชาติสหราชอาณาจักร-กัมพูชา ที่ถูกสหรัฐฯขึ้น “แบล็กลิสต์” ติดอยู่ในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานเพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ โดยสื่อหลายสำนักทั้งในและต่างประเทศ ขุดคุ้ยความเชื่อมโยงจนพบว่า “ปริ้นซ์ กรุ๊ป” มีการขยายสาขาไปยัง บริษัท ปริ๊นซ์ อินเตอร์เนชันแนล คอมพานี (Prince International) ในกรุงลอนดอน และมีสาขาอยู่ในกรุงไทเป(ไต้หวัน) กทม. และกรุงพนมเปญ(กัมพูชา) ในจำนวนนี้มีการพาดพิงกล่าวหาโยงถึงบริษัทในไทยคือ “ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ภายในอาคาร “ซิโน-ไทย ทาวเวอร์” ด้วย
อย่างไรก็ดี บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงเรื่องนี้ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกพาดพิง ยืนยันว่าประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง และไม่เคยพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันบริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) ในนามของผู้กำกับดูแลบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบอาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ บริษัทฯ มิได้มีความเกี่ยวข้องในการประกอบกิจการใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม กับ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือเครือข่ายการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอันผิดกฎหมายใด ๆ
ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว กำลังเป็นเหมือน “ไฟลามทุ่ง” ตั้งแต่ในโลกออนไลน์ จนถึงชีวิตจริง โดย “ก๊กส้ม” งัด 2 ประเด็นดังกล่าว เตรียมมาใช้เป็น “ไม้เด็ด” เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของ “นายกฯอนุทิน” ในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งรู้กันโดยทั่วไปในภูมิภาคอาเซียนว่า มีฐานหลักอยู่ในประเทศกัมพูชา และปัจจุบันสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด
ดังนั้นการหยิบจับ 2 ประเด็นดังกล่าวมาใช้โจมตี “ก๊กน้ำเงิน” เรียกได้ว่า “ก๊กส้ม” ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว กล่าวคือ 1.ได้หยิบฉวยประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตประชาชน มาชูเป็นประเด็นสาธารณะ เพื่อเอาผิดแก๊งอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งฉ้อโกงทรัพย์สินของคนไทยไปแล้วหลายคน เรียกเรตติ้งให้พรรคได้มหาศาล 2.ประเด็นดังกล่าวยังมีการพาดพิงหรือเชื่อมโยงไปยังตัวบุคคลภายในรัฐบาล สร้างภาพลักษณ์ย่ำแย่ให้ “ก๊กน้ำเงิน” ส่งผลสะเทือนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าด้วย
ที่สำคัญ “ก๊กส้ม” ยังคงมีไพ่ไม้ตายอย่าง “ซักฟอก” โดยอาจร่วมมือกับ “ก๊กแดง” กรณีเห็นว่า “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ยักแย่ยักยันดูท่าไปไม่ไหวแล้ว ยังสามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง และขยี้บาดแผล “ก๊กน้ำเงิน” ซ้ำเข้าไปได้อีก ที่สำคัญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น อาจไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะว่าผ่านขั้นรับหลักการไปแล้ว เหลือแค่ไปถกกันให้สะเด็ดน้ำในวาระ 2-3 เท่านั้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า “นายกฯหนู” ยังมีไพ่ลับอย่าง “ยุบสภาฯ” ดักคอ “ก๊กส้ม-ก๊กแดง” อยู่ ซึ่ง “อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นนัยเมื่อ 20 ต.ค.ที่ผ่านมาถึงข้อสังเกตอาจมีการตัดสินใจยุบสภาฯก่อนครบ 4 เดือนตาม MOA กับพรรค ปชน. ว่า เรื่องการยุบสภาเป็นอำนาจของนายกฯ แล้วจะต้องมาบอกสื่อหรือว่าจะยุบเมื่อไหร่ นั่นเป็นอำนาจของตน
“ถ้าผมอยากจะหนี ผมก็หนี ถ้าผมอยากจะอยู่ ผมก็อยู่ เพราะผมรู้ว่าวันสุดท้ายของผม ถึงวันไหน แต่ถ้าเกิดดูแล้วมันไม่ไหว มันก็มีอำนาจของความเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่” อนุทิน ยืนยัน
ขณะที่ “สภาฯสูง” ซึ่ง “ก๊กน้ำเงิน” ยังคงมีบทบาทและบารมีแผ่ขยายไปถึงอยู่ เห็นชอบบุคคลเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในองค์กรอิสระไปแล้วหลายคน ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดังนั้น “ก๊กส้ม” ที่ยังมีชนักปักหลังในหลายคดี โดยเฉพาะคดี 44 สส.ร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ที่คดียังค้างในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยดีเดย์คาดว่าจะเสร็จสิ้นไม่เกินสิ้นปี 2568
ดังนั้น “ก๊กส้ม” จำเป็นต้องขบคิดหมากเกมนี้ให้ดีว่า ได้คุ้มเสียหรือไม่?







