‘ยุบสภา’ (เร็ว) สัญญาณล่ม ‘แก้รัฐธรรมนูญ’

"อนุทิน" ย้ำถึงโอกาสยุบสภาที่เร็วกว่าไทม์ไลน์ สิ่งนี้คือ สัญญาณที่ "กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ" กังวลใจว่า อาจตัดตอนแก้ไข ซึ่ง พรรคส้ม ตั้งหวังใช้ปูทางโละมรดกรัฐประหาร
KEY
POINTS
- สัญญาณการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด 31 ม.ค.69 กลายเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาทำอยู่ต้องล้มเหลว
- ตามขั้นตอนที่วางไว้ คือ ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ไปพร้อมกับวันเลือกตั้ง สส. หลังยุบสภา
- ซึ่งมีรายละเอียดที่เกี่ยวเนื่องกับ ระยะเวลา ตามที่กฎหมายประชามติฉบับแก้ไขกำหนดไว้ และต้องสอดรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
- หาก กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ทำช้าไป หรือ มีเนื้อหาขัดกับคำวินิจฉัย หรือ มีปัจจัยแทรก ทำให้ต้องยุบสภาก่อนกำหนด
- จะทำให้ตัดทอน เส้นทางที่ปูไปสู่การทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญในวันเลือกตั้งสส.ไม่เกิดขึ้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้แล้ว หลังจากที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 21 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา สาระสำคัญของเนื้อหาซึ่งเคยเป็นอุปสรรคต่อการ “โละรัฐธรรมนูญ 2560” ฉบับมรดกบาปของ คณะรัฐประหาร ถูกปลดล็อก เพื่อให้เอื้อต่อการปูทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ง่ายขึ้น
การประกาศใช้กฎหมายประชามติครั้งนี้ ถือเป็นจังหวะที่จะเอื้อต่อกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผลักดันให้มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (สสร.) มาจัดทำกติกาสูงสุดของประเทศฉบับใหม่ ตามข้อตกลงทางการเมือง ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงนามกับ “พรรคประชาชน” เมื่อต้นเดือน ก.ย.
อีกทั้ง สิ่งที่ถูกเน้นย้ำ หลังการจัดตั้งรัฐบาลอนุทิน คือ การทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ พร้อมกันกับวันเลือกตั้ง สส. หลังการยุบสภา ภายใน 31 ม.ค.2569
เนื่องจาก “กฎหมายประชามติฉบับแก้ไข” เปิดช่องไว้ให้ ทั้งการทำประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้ง และย่นระยะเวลาการทำความเข้าใจกับประชาชน ในระยะไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน นับจากวันที่รัฐบาลได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
ดังนั้น หาก “กรรมาธิการ” ที่มี “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” สส.พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ. เร่งทำงานให้เสร็จได้ตามกรอบเวลา และเสนอให้รัฐสภาพิจารณาลงมติวาระสาม ได้ไม่เกินกลางเดือน ม.ค.2569 จะทำให้มี 2 คำถามประชามติ ทั้ง การเห็นชอบต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ วิธีการ หรือกลไกต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ สามารถทำได้พร้อมกับวันเลือกตั้ง ตามที่ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ”รองนายกฯ กางปฏิทินเบื้องต้นไว้
ทว่าสัญญาณของเริ่มต้นไปสู่กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใต้ “กมธ.ของรัฐสภา” กลับไม่ถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวก แต่กลับเต็มไปด้วยความวิตก โดยเฉพาะความกังวลต่อสัญญาณยุบสภาที่อาจมาเร็วกว่าไทม์ไลน์ที่เซ็ตไว้ 31 ม.ค.2569
หลังจากที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า อาจใช้อำนาจยุบสภา เร็วกว่ากรอบข้อตกลงทางการเมือง หากมีปัจจัยแทรก
หากวันยุบสภามาเร็วกว่าที่คาด และ สภาฯ ไม่ทันได้ตั้งตัว เสนอญัตติเพื่อขอให้ “รัฐบาล” ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ จะเท่ากับว่า ปิดประตูลงกลอน การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญพร้อมกับวันเลือกตั้ง ทันที
เมื่อมองเห็นถึงปัจจัยเสี่ยงที่เป็นไปได้ ทำให้ในวงประชุมกมธ. เมื่อวานนี้ จึงเคาะเป็นมติที่ยึดการทำงานในกรอบเวลาที่เร่งรัด โดย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ฐานะกรรมาธิการ บอกว่า มติได้ยึดกรอบเวลาเดิม คือ ต้องทำงานให้แล้วเสร็จ ภายในเดือน พ.ย. ก่อนจะเสนอให้มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระสองในวันที่ 18-19 พ.ย.นี้ และหลังจากนั้นต้องพักไป 15 วัน ก่อนจะกลับมาโหวตในวาระสาม ในช่วงต้นเดือนธ.ค.
นอกจากนั้นแล้ว ยังกังวลต่อ “หลุมพราง” ที่ขุดรอคว่ำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่ “สว.” ยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามมาตรา 256 กำหนดเกณฑ์ผ่านวาระสาม ต้องได้เสียง สว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ ประมาณ 67 เสียง
ปัจจัยนี้ที่ว่านี้ มาจากการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของประธานกมธ. “ณัฐวุฒิ” ที่ใช้การลงคะแนนลับ และพบว่ามี กมธ. ลงคะแนนให้สูงถึง 25 คน จาก กมธ.ที่ร่วมประชุม 40 คน แทนที่จะเป็น คนกลาง อย่าง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” จากพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเสนอชื่อแข่ง แต่ได้รับคะแนนโหวตเพียง 12 คะแนน
หากแกะรอยจากการลงมติครั้งนี้ เชื่อได้ว่าฝ่ายที่สนับสนุนให้ “พรรคส้ม” นำทัพแก้รัฐธรรมนูญ ครั้งนี้ มาจาก สส.พรรคประชาชน 9 เสียง ส่วนที่เหลือ 16 เสียงคาดว่ามาจาก สส.ภูมิใจไทย-สส.ขั้วรัฐบาล รวมถึง สว.
หากมองในทางปกติ อาจไม่แปลกที่ ประธานกมธ. จะเป็นคนของพรรคประชาชน ในเมื่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่ถูกส่งต่อมาให้ กรรมาธิการ พิจารณา 2 ฉบับ นั้น ใช้ฉบับที่ “คณะสส.พรรคส้ม” เสนอ ส่วนฉบับของพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงองค์ประกอบที่รอการเติมเต็มเท่านั้น
หากมองในเชิงลึก จะพบว่าการเสนอเนื้อหาและออกแบบกลไกว่าด้วย สสร. ที่ฉบับของพรรคประชาชน เปลี่ยนชื่อ สสร. ให้เป็น “สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 100 คน ให้มาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นั้นแปลเจตนาได้ว่า ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับล่าสุดอย่างชัดเจน ต่อประเด็นที่ไม่อนุญาตให้ “สสร.” มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
เมื่อพิจารณา อุดมการณ์ที่แน่วแน่ของ “พรรคประชาชน” ต่อการผลักดันแนวคิด ให้มีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วม มาประกอบ จึงเชื่อได้ ในชั้นกรรมาธิการ พวกเขาจะสู้ในจุดยืน อย่างถึงที่สุด เพราะเชื่อถือในตัวเองว่า สิ่งที่ออกแบบมานั้น เป็นทางที่ดีกว่า
แม้ว่า “ณัฐวุฒิ” จะพูดต่อที่ประชุมกมธ.ล่าสุดว่า “พร้อมปรับเนื้อหา” เพื่อหวังลดปัจจัยเสี่ยงล้มแก้รัฐธรรมนูญ แต่ด้วยเกมชิงอำนาจรอบนี้ที่มีเดิมพันสูง เชื่อว่าหากถึงทีเด็ดทีขาด ต้องงัดเสียงข้างมากเข้าสู้
รวมไปถึงอาจมีมุมที่ “แทกติกทางรัฐธรรมนูญ” ถูกหยิบมาใช้เพื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขวางการโหวตวาระสาม ได้ ซึ่งนั่นจะเท่ากับว่าจะปิดประตูทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ที่ต้องทัน กับวันเลือกตั้ง สส. ช่วง 29 มี.ค.69
ท่ามกลางความแน่นอน หลังจากที่ “สส.” ฝ่ายประชาชน ประกาศชัยชนะก้าวแรก ต่อการปูทางไปสู่เส้นทาง “รื้อ มรดก ของคณะรัฐประหาร” ยามนี้ ถูกตั้งอยู่กับความไม่แน่นอน เพราะปัจจัยนอกสภาฯ
ดังนั้นต้องจับตาเกมชิงอำนาจรอบนี้ว่า “ฝ่ายประชาชน” จะปักหลักสู้หลังชนฝา หรือ ยอมให้ “ฝ่ายอนุรักษ์” กินรวบ







