‘ไชน่า เรลเวย์’ ยังเปิดอยู่ คุ้ย 14 บริษัทในเครือ ล่าสุดโกย 847 ล้าน

บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 และบริษัทในเครือข่ายอีก 14 แห่งยังคงเปิดดำเนินกิจการอยู่ งบการเงินล่าสุดปี 2567 พบบริษัทในเครือข่ายเกือบทั้งหมดรายได้รวมกว่า 847 ล้าน
KEY
POINTS
- บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 และบริษัทในเครือข่ายอีก 14 แห่งยังคงเปิดดำเนินกิจการอยู่ แม้บางบริษัทจะเคยถูกตรวจสอบในคดีอาคาร สตง. ถล่ม
- เครือข่ายบริษัทหลายแห่งดังกล่าวมี "ตัวละคร" เชื่อมโยงกับกลุ่มทุน "ไชน่า เรลเวย์" (CREC) โดยหลายแห่งมีคนไทย 3 รายเข้าไปเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้น
- จากการตรวจสอบงบการเงินล่าสุดประจำปี 2567 พบว่าบริษัทในเครือข่ายเกือบทั้งหมดมีรายได้รวมกันกว่า 847 ล้านบาท
ประเด็น “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทยครั้งประวัติศาสตร์ จนตึกดังกล่าวพังถล่มลงมา จนเกิดผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
กรุงเทพธุรกิจ รายงานแล้วว่า อาคารแห่งดังกล่าวใช้งบประมาณก่อสร้างราว 2.1 พันล้านบาท แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.ดำเนินการก่อสร้างโดย กิจการร่วมค้า ไอทีดี ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด)
2.ควบคุมงานก่อสร้างโดย กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด)
3.การออกแบบโดยบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และ บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ผ่านมา กรุงเทพธุรกิจ ขุดคุ้ย และนำเสนอข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ตัวการสำคัญในการก่อสร้างตึกแห่งนี้คือ “ไชน่า เรลเวย์” หรือ CREC ซึ่งเป็นเครือข่ายทุนจีน พบว่า CREC ในไทย มีบริษัทเครือข่ายอีกกว่า 14 บริษัท โดยมี 3 คนไทย ได้แก่ โสภณ มีชัย , มานัส ศรีอนันท์ และประจวบ ศิริเขตร เข้าไปเป็นกรรมการ และถือหุ้น รวมถึงเข้าเป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐหลายสิบโครงการ รวมวงเงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกหน่วยงานรัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำไปใช้ขยายผลสอบสวน
ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนของกระบวนการยุติธรรม และมีการฝากขังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อศาลไปแล้วหลายคน อย่างไรก็ดียังไม่มีรายละเอียดความคืบหน้าว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนไหนแล้วบ้าง
ล่าสุด กรุงเทพธุรกิจ ตรวจสอบพบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และเครือข่ายอีก 14 บริษัท ยังคงเปิดดำเนินกิจการอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยนำส่งงบการเงินประจำปีงบ 2567 มีรายได้รวมกันกว่า 847 ล้านบาท
มีความเคลื่อนไหวพบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งเปลี่ยนที่ตั้งสำนักงานใหญ่เป็น 170/35 ชั้นที่ 12 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ซอยสุขุมวิท 16 (สามมิตร) แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร (เดิมตั้งอยู่ที่ 493 ซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร พบว่า เป็นอาคารพาณิชย์ 2 คูหาติดกัน สูง 4 ชั้น ป้ายหน้าตึกระบุบ้านเลขที่ “493” ชัดเจน)
ขณะเดียวกันนำส่งงบการเงินล่าสุดต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำปีงบ 2567 ระบุว่า มีสินทรัพย์รวม 980,185,898 บาท หนี้สินรวม 1,145,209,706 บาท ซึ่งลดลงจากงบการเงินประจำปีงบ 2566 ที่ระบุว่า มีสินทรัพย์รวม 2,804,535,819 บาท และหนี้สินรวม 2,952,877,175 บาท
บริษัทแจ้งรายได้ประจำปีงบ 2567 รวม 256,800,462 บาท รายจ่ายรวม 236,770,431 บาท แต่มีดอกเบี้ยจ่าย 36,712,482 บาท ขาดทุนสุทธิ 16,682,451 บาท ลดลงจากงบการเงินประจำปีงบ 2566 ที่แจ้งรายได้รวม 206,253,951 บาท รายจ่ายรวม 354,955,975 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 50,967,848 บาท ขาดทุนสุทธิ 199,669,872 บาท
ขณะที่บริษัทอื่นๆ ในเครือส่วนใหญ่แจ้งที่อยู่เดิมคือ 493 ซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 บางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร เช่น 1.บริษัท ยูไนเต็ด สตาร์ กรุ๊ป จำกัด (โสภณ และมานัส ถือหุ้น มี ลี่ หยาง (สัญชาติจีน) เป็นกรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 1,689,466 บาท รายได้รวม 1,380,128 บาท กำไรสุทธิ 531,024 บาท
2.บริษัท วีล มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มานัส และประจวบ เป็นกรรมการ มานัส และบิงลิน วู (สัญชาติจีน) ร่วมกันถือหุ้น) นำส่งงบการเงินประจำปี 2567 สินทรัพย์รวม 206,881,081 บาท รายได้รวม 443,244,059 บาท กำไรสุทธิ 5,553,250 บาท
3.บริษัท สันติภาพ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มานัส ถือหุ้น มีนายประจวบ ศิริเขตร บิง ลินวู และอิทธิพัทธ์ วรธำรงเกียรติ เป็นกรรมการ) แจ้งงบการเงินล่าสุดปี 2567 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 25,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 25,000 บาท
4.บริษัท เอสทีพี อิมปอร์ต-เอ็กปอร์ต(ประเทศไทย) จำกัด บริษัทแห่งนี้มีชื่อเดิมว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท เอสทีพี อิมปอร์ต-เอ็กปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2561 จึงมีการจัดตั้ง บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด (อีกแห่ง) ในเวลาต่อมา
บริษัทแห่งนี้มี ประจวบ และมานัส ถือหุ้น โดยมีมานัส เป็นกรรมการ นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 5,319,353 บาท รายได้รวม 8,483,160 บาท รายจ่ายรวม 7,012,547 บาท เสียภาษีเงินได้ 176,714 บาท กำไรสุทธิ 1,293,898 บาท
5.บริษัท เอวาน่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ประจวบ และมานัส ถือหุ้น โดยมานัส นั่งกรรมการ) ยังมิได้แจ้งงบการเงินปีล่าสุดคือปี 2567 โดยในปี 2566 มีรายได้รวม 302,937,666 บาท รายจ่ายรวม 300,173,772 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 249,415 บาท เสียภาษีเงินได้ 561,437 บาท กำไรสุทธิ 1,953,041 บาท
6.บริษัท สแตร์ ลาเบล อินเตอร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มีมานัส เป็นกรรมการ และร่วมถือหุ้น) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 2,404,712 บาท รายได้รวม 2,116,945 บาท รายจ่ายรวม 1,862,273 บาท กำไรสุทธิ 254,672 บาท
7.บริษัท โมเยนเน่ (ประเทศไทย) จำกัด (มีคนจีน 2 คนร่วมกันถือหุ้น) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 9,362,764 บาท รายได้รวม 12,894,731 บาท รายจ่ายรวม 10,735,002 บาท เสียภาษีเงินได้ 279,486 บาท กำไรสุทธิ 1,880,242 บาท
8.บริษัท สยาม ไบโอเมดิคอล ไซเอนซ์ จำกัด (โสภณ และมานัส ร่วมกันถือหุ้น มีมานัส เป็นกรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 1,997,602 บาท รายได้รวม 38,047 บาท รายจ่ายรวม 13,825 บาท กำไรสุทธิ 24,222 บาท
ส่วนอีก 5 แห่ง ซึ่งถูกกระทรวงพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติม แต่บริษัทเหล่านี้ยังมี 3 ตัวละคร “คนไทย” เข้าไปร่วมถือหุ้น หรือเป็นกรรมการ แต่มิได้มีที่ตั้งเดียวกับ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” ได้แก่
1.บริษัท ไซเบอร์ เทเลคอม จำกัด (โสภณ เข้าไปร่วมถือหุ้น และเป็นกรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 667,062 บาท หนี้สินรวม 42,139 บาท รายได้รวม 1,245 บาท รายจ่ายรวม 1,376,331 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,375,086 บาท
2.บริษัท ไฮห่าน จำกัด (โสภณ ร่วมถือหุ้นกับ 2 คนจีน และร่วมเป็นกรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 7,141,066 บาท หนี้สินรวม 3,495,426 บาท รายได้รวม 7,198,139 บาท รายจ่ายรวม 6,993,143 บาท เสียภาษีเงินได้ 17,233 บาท กำไรสุทธิ 187,763 บาท
3.บริษัท โชคนิมิต บิสซิเนส แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มานัส และประจวบ ร่วมเข้าไปถือหุ้น มีมานัส กรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 3,555,951 บาท หนี้สินรวม 11,890 บาท รายได้รวม 62,736 บาท รายจ่ายรวม 17,267 บาท กำไรสุทธิ 45,469 บาท
4.บริษัท สันติภาพ อิมปอร์ต-เอ็กปอร์ต จำกัด (บิงลินวู และมานัส ร่วมถือหุ้น และร่วมเป็นกรรมการ) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 311,070,523 บาท หนี้สินรวม 267,173,452 บาท รายได้รวม 75,269,397 บาท รายจ่ายรวม 69,049,775 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 2,684,248 บาท เสียภาษีเงินได้ 1,220,465 บาท กำไรสุทธิ 2,314,908 บาท
5.บริษัท เลนเยส อี-พาวเวอร์ จำกัด (มานัส ร่วมถือหุ้นกับคนจีน) นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 55,048,609 บาท หนี้สินรวม 62,614,628 บาท รายได้รวม 40,083,112 บาท รายจ่ายรวม 43,849,418 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,766,305 บาท
เบ็ดเสร็จ 14 บริษัท ที่ปรากฏตัวละครสำคัญของ “ไชน่า เรลเวย์ฯ” เข้าไปร่วมถือหุ้น หรือเป็นกรรมการ ยังคงเปิดดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด และมีการนำส่งงบการเงินประจำปีงบ 2567 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้วอย่างน้อย 13 บริษัท (เหลือบริษัท เอวาน่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ยังไม่ขึ้นในเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) รายได้รวมกันทั้งสิ้นกว่า 847,572,161 บาท
สำหรับความคืบหน้าเรื่องนี้ ช่วงเดือนมิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนทั้งหมดไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการไต่สวน และเอาผิดผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 76 ราย ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 70 ราย โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สตง. 4 ราย คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) พ.ต.อ.วัลลิพผล รังคสิริ เลขานุการของ พล.อ.ชนะทัพ นายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าฯ สตง.คนปัจจุบัน ถูกกล่าวหาด้วย ส่วนที่เหลือเป็นผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW 6 ราย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







