ย้อนเส้นทางการเมือง'แพทองธาร' ถอยหัวหน้าพรรค ยกเครื่อง พท.

ย้อนรอยเส้นทางการเมือง "แพทองธาร ชินวัตร" จากบทบาทประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมฯ -หัวหน้าครอบครัว-หัวหน้าพรรคเพื่อไทย-นายกรัฐมนตรี ก่อนลาออกหัวหน้าพรรค
KEY
POINTS
- "แพทองธาร ชินวัตร" ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้มีการปรับโครงสร้างและยกเครื่องพรรคใหม่ทั้งหมด
- การลาออกของ "แพทองธาร" เกิดขึ้นหลังพรรคเพื่อไทยเผชิญภาวะกระแสความนิยมตกต่ำ และ "แพทองธาร" ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
- 4 ปีคือระยะเวลาเส้นทางการเมืองฉากหน้าของ "แพทองธาร" กว่าจะขึ้นสู่จุดสูงสุดตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 และต้องถอยด้วยการลาออกหัวหน้าพรรรค เพื่อรักษาพรรคและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง
การลาออกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ของ "แพทองธาร ชินวัตร" เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2568 คงหนีไม่พ้นการรักษาพรรคให้อยู่รอดต่อไป ภายใต้บริบททางการเมืองที่ "ความนิยม"ของ "เพื่อไทย" อยู่ในภาวะขาลง หลังกระแสนนิยมตกต่ำลงเมื่อช่วงกลางปี 2568 จากปมปัญหากคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
คลิปดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนการเมืองไทย กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติ 6 ต่อ 3 เสียงเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 โดยชี้ว่า "แพทองธาร" มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง
กระทั่ง "แพทองธาร" ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สะเทือนถึงสมการการเมืองซึ่งพลิกขั้วจนทำให้ "พรรคภูมิใจไทย" สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยสำเร็จ ด้วยแรงสนับสนุนของ "พรรคประชาชน" ภายใต้โรดแมป ยุบสภาไม่เกิน 31 ม.ค. 2569
ขณะที่กระแสนิยมของพรรคเพื่อไทยยังไม่ฟื้นตัว ก็ต้องเจอด่านทดสอบก่อนเลือกตั้งใหม่ โดยอุ่นเครื่องพ่ายเกมเลือกตั้งซ่อม จ.ศรีสะเกษ และ จ.กาญจนบุรี ใน 2 ครั้งซ้อนให้กับพรรคภูมิใจไทย แต่สามารถเก็บชัยชนะเหนือคู่แข่งอย่างพรรคประชาชน ใน จ.เชียงรายได้
ทว่าการรักษาพรรคเอาไว้ก่อน น่าจะเป็นหมากที่คีย์แมนข้างกาย "แพทองธาร"เลือกใช้ด้วยการเลือกวันเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ "นายน้อย" ถอยหรือสละตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แม้ก่อนหน้าจะมีเสียงคนในพรรคเห็นว่าควรลาออกจากหัวหน้าพรรคได้ทันทีก็ตาม
สำหรับเส้นทางการเมืองของ "อิ๊งค์" แพทองธาร ใช้เวลาไม่นานมากนักก่อนขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31
ก้าวแรกในการเปิดตัวอยู่ฉากหน้าทางการเมืองของเธอคือ การเปิดตัวในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 หลังจาก "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" ถอยฉากหน้าหัวหน้าพรรคเพื่อส่งไม้ต่อให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแทน
ครั้งนั้น "แพทองธาร" กล่าวว่า “ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่ทำงานในฐานะที่ปรึกษาพรรค จะมาทำด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ มาด้วยหัวใจที่อยากจะผลักดันให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสที่มากขึ้นกว่านี้ ส่วนโอกาสที่จะมาทำงานการเมืองต่อหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ขอเป็นทึ่ปรึกษาพรรค และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
"นี่คือก้าวแรกที่ได้เป็นที่ปรึกษาก็ยังตื่นเต้น กลัวทำได้ไม่ดี ขอเอาตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน อย่างอื่นไว้ทีหลัง”
นับจากนั้น "แพทองธาร"เริ่มเดินหน้าปรับเปลี่ยนพรรคเพื่อไทยให้ดูทันสมัยขึ้น เริ่มเข้ามาช่วยในเรื่องการสร้างแบรนด์ค่ายแดงให้กลับมามีชีวิตด้วยภาพที่เป็นคนรุ่นใหม่ เจนวาย
จากนั้น "แพทองธาร" ก็ขยับหมวกเพิ่มในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2565 ในกิจกรรมเปิดตัว "ครอบครัวเพื่อไทย บ้านหลังใหญ่ หัวใจดวงเดิม" ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่เป็นเมืองหลวงคนเสื้อแดงในภาคอีสาน
ตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จึงเริ่มเข้าใกล้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมากขึ้น และ สส. แกนนำพรรคต่างรับรู้ว่า นี่คือการมาของหัวหน้าพรรคตัวจริง ดีเอ็นเอ "ทักษิณ ชินวัตร" โดยตรง
"ถึงเวลาแล้วที่พรรคเพื่อไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวให้ทันกับความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้ดีกว่าเดิมจะไม่มีทางลืมประชาชนรากหญ้าที่สนับสนุนมาตั้งแต่ไทยรักไทยจนถึงวันนี้ยังตระหนักถึงความทุกข์ความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนเสมอ ตอนนี้ฤดูกาลของต้นไม้ต้นใหญ่ต้นนี้มาถึงแล้วจะต้องอยู่อย่างแข็งแกร่งและอยู่รอดเพื่อเป็นความหวังของประชาชน" แพทองธาร กล่าวในบทบาทหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ทันทีที่มีการยุบสภาฯ เกิดขึ้น มีสัญญาณหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี 2566 "แพทองธาร" ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งนายกฯ มากที่สุด คือได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ 3 คนของพรรคเพื่อไทย พร้อมกับ "เศรษฐา ทวีสิน" และ "ชัยเกษม นิติสิริ"
ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 "แพทองธาร"ต้องอุ้มท้องลงพื้นที่หาเสียงเคียงข้าง "เศรษฐา" และ "ชลน่าน" โดยปลุกกระแสนิยมของพรรคเพื่อไทย โดยใช้แคมเปญ เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์
ผลการเลือกตั้งทั่วไป จบลง "พรรคเพื่อไทย" แพ้เลือกตั้งให้กับพรรคก้าวไกล และเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกนับแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย "แพทองธาร" รับบทบาทดีลจัดตั้งรัฐบาล โดยช่วงแรกสนับสนุน "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นนายกฯ แต่ทว่าเสียงในรัฐสภาไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลได้
ทำให้เกิดดีลใหม่ข้ามขั้ว "แพทองธาร" ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ต้องเลือกอยู่ฉากหลังด้วยการผลักดัน "เศรษฐา" ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30
27 ต.ค. 2566 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย เลือก "แพทองธาร" เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และยังเป็นผู้นำพรรคที่มาจากสตรีคนแรกขึ้นสู่บทบาทฉากหน้าเต็มตัวทางการเมือง โดยมี "สรวงศ์ เทียนทอง" เป็นเลขาธิการพรรค
เส้นทางนายกฯ คนที่ 31 มาถึงเร็วกว่าเกินคาดคิดไว้ "แพทองธาร" ต้องรับไม้ต่อจาก "เศรษฐา ทวีสิน" ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติ 5 ต่อ 4 เสียงให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567
พรรคเพื่อไทย ปิดเกมโหวตเห็นชอบนายกฯ คนใหม่ ได้ "แพทองธาร" ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 31 เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2567 ด้วยมติของสภาผู้แทนราษฎร 319 ต่อ 145 โหวตหนุนท่วมท้น
กระแสนิยมของ นายกฯ อิ๊งค์ เริ่มดีวันดีคืน จากการผลักดันนโยบายบางส่วน แต่ก็ยังเพลี่ยงพล้ำในนโยบายเรือธงที่ไม่สามารถผลักดันได้ถึงฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต นโยบายเอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์
ขณะที่นโยบายการปราบปรามอาญชากรรมเทคโนโลยี สแกมเมอร์ กำลังเดินหน้าอย่างจริงจัง แต่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงต้นปี 2568 กลับขยายความตึงเครียดมากขึ้น
"แพทองธาร"ต้องมาพลาดท่าให้กับผู้นำจิตวิญญาณของกัมพูชา เมื่อ "สมเด็จ ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชาเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯ อิ๊ง มีความยาว 17 นาทีผ่านโลกโซเชียลมีเดีย กระแสบวกตีกลับมาเป็นลบกับตัวนายกฯไทย ซึ่งมีเนื้อหาสนทนาว่า "แพททองธาร" กล่าวหาแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม และล่อแหลมที่จะมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันของสองชาติตามแนวชายแดน
1 ก.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 เสียงสั่งให้ "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ "แพทองธาร" ก็ยังมีอีกสถานะเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีได้ด้วยตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม
29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6ต่อ 3 เสียงให้ "แพทองธาร"สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี เพราะประเด็นคลิปเสียงสนทนา มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
"แม้ผู้ถูกร้องจะกล่าวอ้างว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวเป็นไปเพื่อการแก้ไขบ้านเมืองให้กลับสู่ความสงบสุข โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหาอันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทหารและประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่ก็ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่าคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ"
"เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง อันมีลักษณะเป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ"คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ
เมื่อพ้นจากนายกรัฐมนตรี "แพทองธาร" ยังคงอยู่ในสถานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งเดินหน้าปรับโฉมพรรคเพื่อไทยใหม่ ด้วยการเปิดแคมเปญ "ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย" เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568
กระทั่งวันที่ 22 ต.ค. 2568 "แพทองธาร" ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้ มีการประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 31 ต.ค.นี้ เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่
"เพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองหลักของประเทศจึงจำเป็นต้องยกเครื่อง พลิกโฉม เปลี่ยนโครงสร้าง กระบวนการ และวิธีคิดใหม่ทั้งหมด เพื่อให้พรรคสามารถชนะเลือกตั้ง แล้วไปยกเครื่อง พลิกฟื้นประเทศไทยต่อไป" คำแถลงการณ์ของ "แพทองธาร" ถึงเหตุผลในการลาออกตำแหน่งหัวหน้าพรรค
เส้นทางทางการเมืองของ "แพทองธาร" เริ่มต้นเส้นทางแรกจากวันที่ 28 ต.ค. 2564 และถอยออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2568 เพื่อรักษาพรรค แต่คงไม่ใช่การยุติเส้นทางการเมืองโดยปริยายและจบแล้วของคนตระกูลชินวัตร
พรรคเพื่อไทยยังคงจำเป็นต้องขายดีเอ็นเอ "คนชินวัตร" ในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อฟื้นคะแนนนิยมกลับคืนมา แม้ว่าจะมีแคนดิเดตนายกฯ เป็นคนชินวัตรหรือไม่ใช่คนชินวัตรก็ตาม
พรรคเพื่อไทย มีหัวหน้าพรรค 8 คน
1. บัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คนแรก เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ปัจจุบันเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยลำดับ 58 (20 ก.ย. 2550 - 20 ก.ย. 2551)
2.สุชาติ ธาดาดำรงเวช เป็นหัวหน้าพรรคช่วงเปลี่ยนผ่านจากพรรคพลังประชาชน มาสู่พรรคเพื่อไทย (21 ก.ย. 2551 - 19 พ.ย. 2551)
3. ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไม่กี่วันหลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และ สส.พรรคพลังประชาชน ย้ายมาอยู่พรรคเพื่อไทย “ยงยุทธ” ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค โดยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรคนำพรรคในการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 และชนะเลือกตั้ง มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กระทั่งเขาลาออกจากหัวหน้าพรรค เนื่องจากเผชิญคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ (7 ธ.ค. 2551 - 4 ต.ค. 2555)
4. จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่พรรค ให้มาดำรงตำแหน่งแทน “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” เป็นหัวหน้าพรรคกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เขาตัดสินใจลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบัน (30 ต.ค. 2555 - 16 มิ.ย. 2557)
5. พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ยุครัฐประหาร ปี2557 และนำพรรคลุยศึกเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 (28 ต.ค. 2561 -2 ก.ค. 2562)
6. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคแทน พล.ต.ท.วิโรจน์ และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพราะ พล.ต.ท.วิโรจน์ ไม่ได้เป็น สส.ไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ (12 ก.ค.2562 - 28 ต.ค. 2564)
7. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รับไม้ต่อจาก “สมพงษ์” หลังพรรคเพื่อไทย รีแบรนด์พรรคใหม่ ให้ดูทันสมัย เพื่อดึงแต้มจากคนรุ่นใหม่ และนำพรรคเพื่อไทยหาเสียงในการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 (28 ต.ค. 2564 - 30 ส.ค. 2566
8. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย สตรีคนแรก รับตำแหน่งต่อจาก นพ.ชลน่าน โดยก่อนหน้านี้มีกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการมี "ชูศักดิ์ ศิรินิล"นั่งรักษาการ แพทองธารอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค 27 ตุลาคม 2566 - 22 ต.ค. 2568







