4 สัญญาณ‘ยุบสภา’ ธ.ค.? หมาก‘อนุทิน’ ปิดเกมอำนาจ

4 สัญญาณ‘ยุบสภา’ ธ.ค.?  หมาก‘อนุทิน’ ปิดเกมอำนาจ

ท่ามกลางกระแส “ยุบสภา” ที่อาจเกิดขึ้นในเร็ววัน เห็นชัดจาก “4 สัญญาณ” ถึงที่สุดแล้วการเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์

KEY

POINTS

  • สัญญาณแรกคือการใช้นโยบายประชานิยม เช่น โครงการ "คนละครึ่งพลัส" และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเตรียมความพร้อมและซื้อใจประชาชนก่อนการเลือกตั้งที่อาจมาถึงเร็วๆ นี้
  • สัญญาณที่สองคือการโหนกระแสชาตินิยม โดยนายกฯ อนุทินแสดงท่าทีแข็งกร้าวในประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นการสร้างคะแนนนิยมในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทย
  • สัญญาณที่สามคือการวางกลไกเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ผ่านการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ และการโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยล็อตใหญ่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการจัดวางเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยในสนามเลือกตั้ง
  • สัญญาณที่สี่คือเกมในสภา โดยนายกฯ อนุทินอาจชิงความได้เปรียบด้วยการประกาศยุบสภาก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนธันวาคม เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกซักฟอกและปิดเกมอำนาจตามรัฐธรรมนูญ

“ผมต้องมาบอกคุณเหรอ ว่าผมจะยุบเมื่อไหร่ เป็นอำนาจของผม ถ้าผมอยากจะหนี ผมก็หนี ถ้าผมจะอยู่ ผมก็อยู่ ผมรู้ว่าวันสุดท้ายของผม คือวันไหน ถ้าผมดูแล้วรู้สึกไม่ไหว ก็ยังมีอำนาจของนายกรัฐมนตรี” 

คำให้สัมภาษณ์ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตอบคำถามถึงกระแสข่าวที่อาจมีการประกาศยุบสภาภายในปีนี้ 

ท่ามกลางกระแส “ยุบสภา” ที่อาจเกิดขึ้นในเร็ววัน เห็นชัดจาก “4 สัญญาณ” 

สัญญาณแรก การหว่านประชานิยม“ลด-แลก-แจก-แถม” ล่าสุดคือ นโยบาย“คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเปิดลงทะเบียนไปเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถูกมองว่า ไม่ต่างอะไรกับการโปรยยาหอม เตรียมพร้อมเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ไหนจะกรณีที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... หรือ“พ.ร.บ.ตั๋วร่วม” เห็นชัดว่า รัฐบาลภูมิใจไทย หวังใช้กฎหมายฉบับนี้ เพื่อต่อยอดนโยบาย“ตั๋วบุฟเฟ่ต์” ที่แปรสภาพมาจากนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นผลงานรัฐบาลภูมิใจไทย

ที่น่าสนใจ คือ สัญญาณการหว่านประชานิยมของ“รัฐบาลอนุทิน” ในเวลานี้ แทบไม่ต่างอะไรกับยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงโค้งสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ซึ่งดำเนินการเป็นเฟสสุดท้าย ในช่วงเดือนก.ค.2565 ก่อนยุบสภาในช่วงต้นปี 2566 เวลานี้ ได้แปรสภาพมาเป็น “คนละครึ่งพลัส” ในรัฐบาลอนุทิน หรือโครงการเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น

เป็นการสะท้อนถึงการหว่านประชานิยม ซื้อใจโหวตเตอร์เพื่อเตรียมพร้อมรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

4 สัญญาณ‘ยุบสภา’ ธ.ค.?  หมาก‘อนุทิน’ ปิดเกมอำนาจ

สัญญาณที่สอง การโหนกระแสชาตินิยม  โชว์แอ็กชั่นประเด็นไทย-กัมพูชา เห็นชัดจากท่าที “นายกฯอนุทิน” ล่าสุด ที่แสดงท่าทีขึงขังต่อข้อพิพาทไทยกัมพูชา ทั้งการยืนยันจะไม่ลงนามสันติภาพอย่างเด็ดขาด หากไม่บรรลุเงื่อนไข 4 ข้อตกลงไทย-กัมพูชา ทั้งการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการชายแดนร่วมกัน

ไหนจะการแสดงท่าทีขึงขังของ “นายกฯอนุทิน” ต่อประเด็นการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ยกระดับเป็นวาระโลก ดึงนานาชาติร่วมแก้ปัญหาดังกล่าว

อ่านเกมในมิติการเมืองแล้ว อย่าลืมว่า พื้นที่บริเวณชายแดนไทยกัมพูชาไม่ว่าจะเป็น จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น 

สัญญาณที่สาม การวางกลไกเพื่อเตรียมพร้อมสู่โหมดเลือกตั้ง ทั้งกรณีที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ให้ความเห็นชอบ

“อนันต์ สุวรรณรัตน์” และ “ณรงค์ รักร้อย” เป็นกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คนใหม่   

โดยทั้ง “2 ว่าที่กกต.” ถูกตั้งข้อสังเกตจาก “สว.เสียงข้างน้อย” ว่า อาจมีเส้นสายทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายการเมืองสีน้ำเงิน

โดยเฉพาะ “อดีตผู้ว่าฯณรงค์” แต่เดิมเป็นผู้ว่าฯอุทัยธานี ซึ่งเป็นฐานที่มั่นพรรคภูมิใจไทย ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ในตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้ารับการสรรหา 

ไหนจะบัญชีโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย “บิ๊กล็อต” เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ส่องรายจังหวัดเห็นชัดว่า เป็นการจัดวาง “เครือข่ายสีน้ำเงิน”เพื่อเตรียมพร้อมสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

สัญญาณที่สี่ เกมสภาฯ ซึ่งจะปิดสมัยประชุมปีที่ 3 ครั้งที่ 1 ในวันที่ 30 ต.ค.2568 นี้ ทิ้งช่วงไปถึงวันที่ 12 ธ.ค.2568 ซึ่งจะเปิดประชุมปีที่ 3 ครั้งที่ 2 

ที่ต้องจับตา คือ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากยึดไทม์ไลน์ ซึ่ง “นายกฯอนุทิน” เคยระบุว่า จะยุบสภาฯไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.2569 เท่ากับว่า ระยะเวลาที่ฝ่ายค้านจะต้องยืื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะต้องอยู่ในช่วงเดือนธ.ค.2568 หรืออย่างช้าที่สุด ไม่เกินต้นเดือนม.ค.2569 

ทว่า อีกหนึ่งเงื่อนไขที่สำคัญคือ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 151  ที่ระบุว่า “เมื่อมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้”

เมื่ออำนาจในการประกาศยุบสภา เป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว เช่นนี้ต้องจับตา ท่ามกลางเกมอำนาจรัฐบาลภูมิใจไทย ที่ไม่ได้หวังเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจแค่ 4 เดือน แต่หวังไปถึงการเป็นรัฐบาล 4 ปีในสมัยหน้า 

เวลานี้จึงเริ่มมีกระแสว่า “นายกฯอนุทิน”อาจช่วงชิงความได้เปรียบ “ปิดเกม” ด้วยการประกาศยุบสภา ก่อนการยื่นซักฟอกในเดือนธ.ค. จับเวิร์ดดิ้งจากคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า “จะหนีผมก็หนี ถ้าผมจะอยู่ผมก็อยู่”

สัญญาณเลือกตั้งที่เริ่มเห็นชัด จากความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมือง ซึ่งต่างฝ่ายต่างทยอย“ปล่อยหมัด” ออกมาในเวลานี้ เป็นการสะท้อนว่า ถึงที่สุดแล้วการเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์