'ภิญญาพัชญ์' แนะ ตั้งศูนย์ประสานงานข้ามพรมแดน ปราบสแกมเมอร์

'ภิญญาพัชญ์' แนะ ตั้งศูนย์ประสานงานข้ามพรมแดน ปราบสแกมเมอร์

"สว." ชี้ ปัญหาสแกมเมอร์ อาชญากรรมออนไลน์ เป็นภัยคุกคามมั่นคง จี้ "รัฐบาล" เร่งตั้งศูนย์ปราบปราม-ประสางานข้ามพรมแดน

ที่รัฐสภา น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สว.  หารือต่อที่ประชุมวุฒิสภา ในประเด็นอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน และปัญหาแก๊งสแกมในภูมิภาคอาเซียน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามอย่างเร่งด่วนและจริงจัง  ทั้งนี้เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ส่งทีมพิเศษ ไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีใต้ที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการสแกมเมอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้ว่าประเทศไทยต้องตระหนักอย่างลึกซึ้ง เพราะสิ่งที่เกาหลีใต้ทำ ไม่ใช่แค่ภารกิจช่วยชีวิต แต่คือการแสดงเจตจำนง ว่าจะไม่ปล่อยให้พลเมืองของตัวเองต้องเผชิญอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเดียวดาย ขณะที่ไทยเรา คนไทยจำนวนมากถูกหลอก ลักลอบข้ามไปฝั่งกัมพูชา และติดอยู่ในศูนย์สแกมเมอร์ หลายพันคน บางรายถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกทำร้าย และยังกลับบ้านไม่ได้จนถึงวันนี้

"ภัยสแกมเมอร์ในอาเซียนวันนี้ ไม่ใช่คดีโทรศัพท์หลอกโอนเงินเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่มันคือ อุตสาหกรรมอาชญากรรมดิจิทัล ที่มีศูนย์บัญชาการ มีโครงสร้างองค์กร มีเงินหมุนเวียนมหาศาล และโยงใยกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และธุรกิจกาสิโนออนไลน์ในพื้นที่ชายแดน
เราพบว่าศูนย์เหล่านี้เคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการไปมาระหว่างเมียนมา กัมพูชา ลาว และไทย ตามแรงกดดันของกฎหมาย เหมือนน้ำที่ไหลไปหาที่ต่ำ หากประเทศหนึ่งเข้ม อีกประเทศหนึ่งอ่อน พวกเขาก็ย้ายไปอีกฝั่งทันที" น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว

น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา และไทย–เมียนมา ยังพบการเคลื่อนไหวของเครือข่ายสแกมเมอร์โยงกับศูนย์ปฏิบัติการในฝั่งปอยเปตและท่าขี้เหล็ก  ทั้งนี้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่านของเงินสกปรก และศูนย์กลางเทคโนโลยีราคาถูกของอาชญากรรมไซเบอร์ เพราะมีการใช้เบอร์โทรศัพท์ไทย บัญชีธนาคารไทย และระบบการเงินของไทยเป็นช่องทางฟอกเงิน ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ระบบกำกับดูแลอ่อนแอและขาดความรวดเร็วในการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

"แม้ไทยจะมีกรอบความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และช่องทาง ASEANAPOL หรือ INTERPOL แต่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ในระดับประสานงานไม่ใช่ปฏิบัติการ ดิฉันจึงขอเสนอให้มีศูนย์สืบสวนพิเศษอาเซียน หรือ ASEAN Special Investigation Taskforce โดยไทยสามารถเป็นศูนย์กลาง ในการติดตามธุรกรรมการเงินดิจิทัล และรวบรวมข้อมูลการสืบสวนระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้การปราบปรามเป็นระบบมากขึ้น และไม่ต้องรอขั้นตอนทางราชการอันล่าช้า”น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว

น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวด้วยว่าตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานร่วม ไทย–กัมพูชา–เมียนมา–จีน เพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี เป้าหมายไม่ใช่เพียงพิธีลงนาม แต่ต้องเห็นผลจริง เช่น การช่วยเหลือแรงงานไทย กลับประเทศได้อย่างปลอดภัยไม่น้อยกว่า 500 คน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีฟอกเงินอย่างต่อเนื่องระหว่าง 4 ประเทศ

“ภัยสแกมเมอร์ไม่รู้จักพรมแดน แต่ความรับผิดชอบของรัฐ ยังติดอยู่ในแผนที่ ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องมองอาชญากรรมไซเบอร์ เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง และต้องแสดงให้โลกเห็นว่า เราจะไม่ปล่อยให้คนไทยคนใด ต้องตกอยู่ในกับดักของอาชญากรรมดิจิทัลอีกต่อไป” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว