‘เจ๊แดง’ขยับ ‘แดงเหนือ’ระส่ำ ‘สมพงษ์’พลีชีพ แฉเพื่อไทย

ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งปี 2569 เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ ไม่เฉพาะพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากแพ้ศึกครั้งนี้ ย่อมส่งผลต่อ “ตระกูลชินวัตร” ในหลายมิติ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
KEY
POINTS
- สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลาออกจากทุกตำแหน่ง เพื่อเปิดโปงปัญหาการบริหารจัดการภายในพรรค โดยเฉพาะการคัดเลือกผู้สมัคร สส.
- ความขัดแย้งมีสาเหตุหลักจาก ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่เข้ามามีอิทธิพลในการจัดตัวผู้สมัคร สส. ภาคเหนือตอนบน ทำให้เกิดความระส่ำระสายในพื้นที่
- การลาออกของสมพงษ์ถือเป็นการพลีชีพเพื่อสะท้อนปัญหาให้ผู้บริหารพรรครับรู้ หลังจากอิทธิพลของ ‘เจ๊แดง’ เคยทำให้เพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งย่อยยับในเชียงใหม่มาแล้ว
ช็อกคนพรรคเพื่อไทยพอสมควร เมื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยื่นใบลาออกจาก สส.และสมาชิกพรรค ทั้งที่เพิ่งปรากฏตัวกลางงาน “ยกเครื่องเพื่อไทย” ข้างกาย “หัวหน้าอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร
ทั้งชีวิตของ “สมพงษ์” ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมานับไม่ถ้วน โดยเป็น “พี่พงษ์” แกนนำกลุ่ม 16 ที่พี่ๆ น้องๆ นับถือ แม้หลายคนจะแยกย้ายกันไปตามเส้นทางการเมือง แต่เมื่อมีงานเลี้ยงสังสรรค์ “กลุ่ม 16” เมื่อใด เขาก็มักจะร่วมวงไม่เคยขาด
ความสัมพันธ์ระหว่าง “สมพงษ์” กับ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร สนิทชิดเชื้อ เคารพกันและกันมาโดยตลอด
ตั้งแต่ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคเพื่อไทย “ทักษิณ” ผลักดันให้ “สมพงษ์” ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีหลายสมัย
ถึงแม้ต่อมา เจ้าตัวจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเอง ก็ยังสงวนโควตารัฐมนตรีเอาไว้ให้ทายาท โดยสมพงษ์ ส่ง “ลูกหนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ มานั่งเก้าอี้ รมช.คลัง สมัยรัฐบาลเศรษฐา และรัฐบาลแพทองธาร
ทว่า ในทางบริหารจัดการ พื้นที่การเมืองในพรรค สมพงษ์กลับเจอปัญหาอย่างหนัก แม้หน้าฉากจะได้รับมอบหมายให้คัดเลือกผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย โซนภาคเหนือตอนบน แต่กลับปรากฎว่าไร้อำนาจอย่างแท้จริง เมื่อรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกของเขา มักถูก “คนชินวัตร” ตีตก ก่อนจะเลือกเด็กในคาถามาเสียบแทน
สมพงษ์ ให้เหตุผลในการลาออกจากพรรคทุกสถานภาพ ว่า “การบริหารจัดการภายในที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 เชื่อว่าสส.ส่วนใหญ่ก็อึดอัดกับสถานการณ์ในพรรค กับการจัดลำดับความสำคัญที่มีปัญหาค่อนข้างมาก แต่ผู้บริหารพรรคมองไม่เห็น พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก”
โฟกัสหลัก พุ่งเป้าไปที่ จ.เชียงใหม่ “สมพงษ์”ไม่เคยเห็นด้วยที่ “เพื่อไทย” ส่ง “สว.ก๊อง” พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ชิงเก้าอี้นายกอบจ.เชียงใหม่ แม้จะคว้าชัยมาทั้ง 2 ครั้ง แต่ต้องพึ่งพาฐานเสียง และเครดิตของ “เครือข่ายเพื่อไทย”
มีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “สว.ก๊อง” กับ “สส. - เครือข่าย” ของพรรคเพื่อไทย ไม่ค่อยจะสู้ดี แต่ที่ต้องสนับสนุน “สว.ก๊อง” เพราะ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ “ทักษิณ” คอยหนุนหลัง
หากยังจำกันได้ การเลือกตั้งปี 2566 “เจ๊แดง” เข้ามาบริหารจัดการอยู่ฉากหลัง โดย “จักรพล ตั้งสุทธิธรรม” เด็กในสังกัดมาลงเขต 1 โดยสลับให้ “ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์” ลงเขต 3 ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียง
ทว่า ปฏิบัติการของ “เจ๊แดง” หวังยึดโซนเมืองเอาไว้ โดยชิงพื้นที่จาก “ตระกูลบูรณุปกรณ์” คู่แค้น - คู่แข่ง
ผลการเลือกตั้ง “เพื่อไทย” เสียพื้นที่ “เมืองหลวงเสื้อแดง” อย่างย่อยยับ โดน “พรรคก้าวไกล” ในขณะนั้น คว้าชัยไปเกือบเรียบ 7 ที่นั่ง และ “พลังประชารัฐ” เบียดไปอีก 1 ที่นั่ง “เพื่อไทย” เหลือเพียง 2 ที่นั่ง มีเพียง “จุลพันธ์” และ ศรีโสภา โกฏิคำลือ ที่รอดเข้ามาได้
การเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง เริ่มมีความเคลื่อนไหวของ “เจ๊แดง” กลับมาอีกครั้ง โพยในมือมีรายชื่อเด็กในสังกัด เตรียมลงสมัคร สส. เพื่อไทย หลายคน บางคนเป็นอดีตผู้สมัคร แต่ต้องการเปลี่ยนเขต หลบเขตเมือง ที่กระแสสีส้มยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ไปลงพื้นที่ชนบท เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้รับการเลือกตั้ง
ว่ากันว่า มีหลายคนใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ในฐานะ “เด็กเจ๊” จนมีชื่ออยู่ในลิสต์ว่าที่ผู้สมัคร สส. พรรคเพื่อไทย แตกต่างจาก “สมพงษ์” ที่เฟ้นหาผู้สมัครที่ฐานเสียงระดับพื้นที่ค่อนข้างเหนียวแน่น มีโอกาสสู้กับผู้สมัครจากค่ายอื่นได้ แต่รายชื่อกลับถูกตีตก
มีกระแสข่าวว่า หากใครอยากลงชิงเก้าอี้ สส.โซนภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา และน่าน ในนามพรรคค่ายสีแดง ต้องเปิดดีลผ่าน“เจ๊แดง”เท่านั้น จึงจะการันตีสถานะที่มั่นคงกว่า
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง “สมพงษ์” ยอมพลีชีพ กลืนเลือด ด้วยการออกมาสะท้อนฉากหลังการคัดเลือกผู้สมัคร สส.ของพรรคเพื่อไทย โดยมีแรงเชียร์จาก “สส. - อดีต สส.” รุ่นน้องหลายคน เพราะอยากให้ “ผู้ใหญ่เลือดชินวัตร” มองเห็นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม
ต่อจากนี้ ต้องจับตาการจัดวางตัวผู้สมัคร สส. ของพรรคเพื่อไทย บรรดา “เด็กนาย” จะแทรกตัวมาได้มากน้อยเพียงใด
ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งปี 2569 เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ ไม่เฉพาะพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากแพ้ศึกครั้งนี้ ย่อมส่งผลต่อ “ตระกูลชินวัตร” ในหลายมิติ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้







